Twenty-Five Twenty-One กับ 10 บทเรียนชีวิต ที่ได้จากซีรีส์
ก่อนที่จะมูฟออนไปซีรีส์เรื่องอื่น ดูซีรีส์ให้ซีเรียส อยากจะขอมอบคอนเทนต์ส่งท้ายจาก Twenty-Five Twenty-One อีกสักครั้ง เพราะ ‘บทเรียนชีวิต’ ที่ได้รับผ่านทุกๆ เรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้น ล้วนลึกซึ้งและควรค่าแก่การจดจำ
1. อะไรก็เกิดขึ้นได้ ชีวิตไม่ได้เป็นอย่างที่คิดเสมอไป
“ความจริงแล้วฉันเองก็อยากเฉิดฉายได้อย่างเธอ แต่แล้วก็ดันเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น ไอเอ็มเอฟ ฉันคิดว่าไอ้เรื่องบ้านั่นไม่เกี่ยวอะไรกับฉันซะอีก”
ถ้าเราเป็นนาฮีโด เราก็คงจะคิดแบบเดียวกัน…
‘ไอเอ็มเอฟ’ เหตุการณ์ที่ดูไกลตัวจากมุมมองของเด็กมัธยม เหตุการณ์ที่ไม่เคยมีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น แต่กลับทำให้ตัวละครหลายตัวต้องพบเจอกับมรสุมชีวิตที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
นาฮีโด คือหนึ่งในผู้ที่ได้รับผลกระทบเต็มๆ จากวิกฤตไอเอ็มเอฟ เธอเคยวาดฝันเส้นทางการเป็นนักกีฬาฟันดาบเอาไว้อย่างสวยหรู แต่ก็กลับต้องโดนยุบชมรมฟันดาบ ซึ่งนั่นทำให้เธอเชื่อสุดหัวใจว่า ‘ยุคสมัยคือสิ่งที่พรากความฝันจากเธอไป’ แต่ในเมื่อโลกยังต้องหมุนต่อ เธอจึงต้องพยายามเปลี่ยนชีวิตที่โชคร้ายนั้นให้กลับมาใกล้เคียงเส้นทางที่เคยคาดหวังไว้ให้ได้มากที่สุด และเมื่อทำสำเร็จ เธอก็ได้พบว่า ‘สิ่งที่ช่วยเธอไว้ก็คือยุคสมัยเช่นเดียวกัน’
เรามักจะเข้าใจความหมายของการที่ ‘ชีวิตไม่เป็นอย่างที่คิด’ ว่า ‘กำลังมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้น’ แต่ถ้าเรามองวลีนี้ในอีกมุมหนึ่ง มันก็อาจจะหมายถึงการมีแสงสว่างที่เรียกว่า ‘ปาฏิหาริย์’ เกิดขึ้นแบบที่เราไม่คาดคิดได้เช่นเดียวกัน
2. การฝึกฝนอย่างเต็มที่ คือหนทางสู่ความสำเร็จ
“ฉันมั่นใจว่าในบรรดานักกีฬาทุกคนที่นี่ ฉันคือคนที่พยายามมามากที่สุด ฉะนั้นฉันจะต้องชนะแน่นอน วันนี้ฉันจะได้เป็นตัวแทนทีมชาติ”
นี่คือสิ่งที่นาฮีโดพูดกับตัวเองในวันที่ไปคัดตัวเข้าทีมชาติ เบื้องหลังประโยคที่แสนจะธรรมดา เรากลับเห็นภาพความพยายาม ความยากลำบาก และความอดทนทั้งหมดของฮีโดที่ผ่านมาได้อย่างชัดเจน และคงไม่แปลกที่เธอจะกล้าพูดกับตัวเองออกมาได้อย่างมั่นใจแบบนั้นว่านี่คือวันของเธอ
พรสวรรค์อาจจะเป็นพรข้อหนึ่ง แต่เราเชื่อว่าพรสวรรค์ก็มีขีดจำกัดของมัน ‘พรแสวง’ ต่างหากที่จะผลักเราให้ไปไกลกว่าคนอื่นได้ จริงอยู่ที่นาฮีโดเกิดมามีพรสวรรค์ด้านการฟันดาบ แต่ก็เป็นเพราะการฝึกฝนอย่างเต็มที่และสม่ำเสมอตลอดมาของเธอเองที่ทำให้ฮีโดประสบความสำเร็จได้อย่างที่เธอต้องการ การที่ฮีโดจดบันทึกการซ้อมก็เป็นการฝึกฝนอีกทางหนึ่ง เธอได้ทบทวนข้อผิดพลาดของตัวเอง และได้รู้จักตัวเองเพิ่มขึ้นในแต่ละวัน
3. เราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวบนโลก
“หวังว่าคนคนนั้นจะรับรู้ความรู้สึกนี้ของเธอนะ ถ้าเป็นแบบนั้น คนคนนั้นก็คงโดดเดี่ยวน้อยลง”
เป็นประโยคที่โกยูริมพิมพ์ส่งให้นาฮีโดผ่านโปรแกรมแชต โดยที่ไม่รู้ว่า ‘คนคนนั้น’ ก็หมายถึงตัวเธอเอง
ทั้งความกดดันจากตัวเองและสถานการณ์จากที่บ้าน ทำให้โกยูริมกลายเป็นคนที่เลือกเก็บอะไรหลายๆ อย่างไว้ในใจ เธอคงรู้สึกโดดเดี่ยวและคิดว่าไม่มีใครเลยที่จะเข้าใจเธอได้อย่างแท้จริง แต่ถ้าหากมองดูดีๆ จะเห็นว่ามีคนหลายคนที่หวังดีและพร้อมจะอยู่ข้างๆ เธอเสมอ ทั้งมุนจีอุงที่โกยูริมไว้ใจและนึกถึงในวันที่ต้องการใครสักคน ทั้งนาฮีโดคนที่รู้จักโกยูริมดีที่สุด รู้จักมาตลอด และพร้อมวิ่งมาหาโกยูริมเสมอ โค้ชยางชานมีที่ช่วยโกยูริมจนถึงวันที่ตัดสินใจเปลี่ยนสัญชาติ และที่สำคัญคือพ่อและแม่ที่พยายามโอบกอดเธอไว้ และอยากให้เธอได้ใช้ชีวิตแบบที่ใจต้องการ
ไม่ว่าจะรู้สึกโดดเดี่ยวขนาดไหน เราล้วนมีใครบางคนอยู่ข้างๆ เสมอ บางครั้งเราจึงจำเป็นต้องเปิดตา เปิดใจ ปล่อยวางทิฐิ และรู้จักยอมรับความช่วยเหลือหรือความสุขที่คนรอบข้างหยิบยื่นให้บ้างก็พอ
4. พลังใจสำคัญจากครอบครัว
“แม่ไม่ใช่คนที่จะมาแสดงความยินดีกับแก แต่แม่อยู่ตรงนี้เพื่อทำให้คนได้แสดงความยินดีกับแก”
คำพูดของแม่นาฮีโดสะท้อนให้เห็นบทบาทที่เธอจำเป็นต้องรับผิดชอบทั้งสองอย่าง ในฐานะแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ควบคู่ไปกับการเป็นผู้ประกาศข่าว ไม่ง่ายเลยสำหรับผู้หญิงคนหนึ่งที่จะทำหน้าที่แม่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ สิ่งที่เธอจำเป็นต้องรักษาไว้ในทุกๆ วินาทีคือความมั่นคงในอาชีพ ซึ่งก็ได้กลายเป็นกำแพงความรู้สึกที่กั้นเธอกับนาฮีโดออกจากกัน ด้วยสถานการณ์แวดล้อมทั้งหมด การดูแลไม่ให้ลูกมีอะไรที่ขาดตกบกพร่องในเรื่องเงินทอง การแสดงความเอาใจใส่ผ่านเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็คงจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้วที่เธอสามารถทำได้
ในมุมของนาฮีโด ก็คงจะไม่ผิดถ้าเธอจะรู้สึกได้ถึงกำแพงนั้นระหว่างตัวเองกับแม่ เพราะการที่แม่ไม่เคยอยู่ในช่วงเวลาใดในชีวิตเธอเลย ทำให้เธอไม่ได้รับรู้ถึงสิ่งที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ภายในใจของแม่ แต่ในวันนั้นที่สุสานของพ่อฮีโด เมื่อทั้งสองคนได้ ‘สื่อสารความรู้สึกที่แท้จริง’ แม้จะเป็นเพียงถ้อยคำสั้นๆ แต่มันก็สามารถทลายกำแพงความรู้สึกนั้นลงได้ ความสัมพันธ์ที่ไร้ซึ่งสิ่งกีดกั้น ทำให้แม่สามารถเพิ่มพูนพลังใจให้นาฮีโดได้อย่างเต็มที่ และเธอเองก็รับรู้ได้ถึงมัน
5. ทุกความผิดพลาดคือแบบฝึกหัด
“ฉันอยากจะเรียนรู้ให้เร็ว และพัฒนาให้เร็ว”
ในช่วงแรกของการเริ่มทำอะไรสักอย่าง ความผิดพลาดในอดีตมักจะคอยตอกย้ำ จนทำให้บางครั้งเราไม่กล้าเสี่ยงหรือทำอะไรนอกโซนปลอดภัย แพคอีจินก็เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการไปใช้โทรศัพท์มีสายในร้านขายสุนัข หรือการวางหูโทรศัพท์เพราะคอมพิวเตอร์ดับกลางคัน ล้วนเป็นเหมือนหนามในใจที่คอยสะกิดเขาทุกครั้งที่ต้องรายงานข่าว แต่นั่นก็ทำให้เขากลายเป็นคนรอบคอบมากขึ้น และเลือกที่จะจำแทนที่จะจด ด้วยความกลัวว่าจะต้องกลับไปยืนอยู่ในจุดที่ผิดพลาดอีกครั้ง
แต่นอกเหนือจากแบบฝึกหัดที่เรียนรู้ได้จากตัวเองแล้ว แพคอีจินก็ยังได้เรียนรู้จากข้อผิดพลาดของคนอื่นเช่นกัน อย่างเช่นความผิดพลาดจากของแม่นาฮีโดกับโค้ชยางชานมี ก็ได้สอนอีจินว่าการสานสัมพันธ์ระหว่างนักข่าวกับบุคคลที่อยู่ในข่าวนั้นจะก่อให้เกิดผลลัพธ์แบบไหนตามมา ดังนั้นทุกความผิดพลาดจากทั้งตัวเองและคนอื่นล้วนเป็นสิ่งที่เราสามารถ ‘ฝึกหัด’ ได้ทั้งนั้น
6. จงต่อสู้เพื่อความถูกต้อง
“ใช่ เราเรียนรู้อะไรมากมายที่โรงเรียน แต่หนึ่งในนั้นคือการใช้ความรุนแรง”
ครั้งหนึ่ง ดีเจวานซึงเคยระบายความในใจในผ่านรายการวิทยุออนไลน์ที่เธอจัด แม้เธอจะไม่ได้เป็นผู้ถูกกระทำ แต่หัวใจของเธอก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน
เวลาเราเห็นหรือรับรู้ในสิ่งที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นในสังคม เช่น การใช้ความรุนแรงในโรงเรียนนี้ ในหลายๆ ครั้งเราอาจจะเลือกอยู่เฉยๆ แล้วปล่อยผ่านไป แต่จีซึงวานคือตัวแทนของคนที่กล้าลุกขึ้นต่อสู้เพื่อความถูกต้องแม้จะรู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรหากเธอทำมัน เธอยังคงเชื่อมั่นในการต่อสู้เพื่อความถูกต้องจนถึงที่สุด เธอรู้ดีว่าการทำแบบนี้อาจจะไม่ใช่เพื่อตัวเองทั้งหมด แต่อย่างน้อยก็เพื่อคนที่เธอรักและเพื่อโลกใบนี้ที่เราอยู่
7. ฮึดสู้ให้ถึงที่สุดก่อน แล้วจะยอมแพ้ก็ได้
“การยอมแพ้คือความท้าทายงั้นเหรอ พูดซะสวยหรูเชียว ถ้างั้นความใจสู้ล่ะ คือความโง่เง่าหรือเปล่า”
โค้ชทิ้งคำถามนี้ให้กับนาฮีโดและโดยูริมที่พยายามช่วยซอเยจีให้ได้เลิกฟันดาบอย่างที่ตั้งใจ ในมุมมองของเด็กที่ยังด้อยประสบการณ์ ยิ่งเป็นนักกีฬาด้วยแล้ว การยอมแพ้คือความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ เพราะนั่นหมายถึงการต้องยอมให้บันไดชีวิตที่ยืนอยู่สั่นคลอนและอาจพังทลายลงได้ทุกเมื่อ ดังนั้นหากไม่ได้รู้สึกสนุกกับมันแล้วก็ล้มเลิกเสียดีกว่า
แต่โค้ชกลับมองต่างออกไป โค้ชรู้ดีว่าเยจีไม่ได้เริ่มต้นการฟันดาบด้วยความรู้สึกแบบเดียวกับในตอนนี้ เธออยากให้เยจีได้ลองพยายามถึงที่สุด และซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองจริงๆ อีกสักครั้ง จึงได้ยื่นเงื่อนไขให้เธอต้องผ่านเข้ารอบรองระดับประเทศถึงจะเลิกฟันดาบได้ ถึงแม้ว่าสุดท้ายเยจีก็เลือกที่จะยอมแพ้ให้กับเส้นทางการเป็นนักกีฬาฟันดาบ แต่เธอก็ไม่มีอะไรต้องเสียใจ เพราะเธอได้สู้จนถึงที่สุดแล้วนั่นเอง
8. ลองทำให้ตัวเอง เพื่อตัวเองสักครั้ง
“ฉันชอบการเป็นตัวเองนะ มันน่าตื่นเต้นที่ได้ใช้ชีวิตแบบเป็นตัวฉันเอง”
ไม่บอกเราก็พอจะเดาได้ว่านี่คือคำพูดของมุนจีอุง เจ้าน่ารักที่คอยส่งแรงบวกให้คนรอบข้างอยู่เสมอ
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในโลกความเป็นจริงอันโหดร้าย กรอบสังคมที่เรียกว่า ‘ความเหมาะสม’ ทำให้หลายๆครั้งเราต้องยอมแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงหัวใจของตัวเอง และไปฟังเสียงของคนอื่นแทน แต่มุนจีอุงเป็นตัวละครที่ฉีกกฎที่ว่านั้น เขามักจะใช้หัวใจนำทางเสมอมาไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ทั้งเรียน เล่น และรัก และเขาก็ได้พิสูจน์ให้เราเห็นว่า การทำอะไรบางอย่างเพื่อตัวเองก็ไม่ใช่เรื่องไม่เหมาะสมเสมอไป แน่นอนว่าเราอาจจะทำแบบนั้นไม่ได้ในทุกสถานการณ์ แต่เราก็ยังอยากให้ทุกคนมีมุนจีอุงในเวอร์ชันของตัวเอง คนที่กล้าและมั่นใจจะลองทำเพื่อตัวเองแม้อย่างน้อยสักครั้ง
9. ความทรงจำที่ถูกบันทึกผ่านไดอะรี่
“จากนี้หนูจะเขียนเรื่องราวของตัวเองบ้าง ในแบบที่เท่กว่า”
คิมมินแชบอกกับแม่ตอนที่เอาไดอะรี่มาคืน หลังจากอ่านไดอะรี่ของแม่มาหลายเล่ม เธอคงตระหนักได้ว่าเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่งอาจกลายเป็นความทรงจำอันล้ำค่าเมื่อเวลาผ่านไป ถึงแม้ว่าพอโตมาเราอาจจะจำเรื่องราวในช่วงวัยรุ่นไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งดีและร้ายเหล่านั้นไม่เคยเกิดขึ้น ความทรงจำที่ถูกเก็บไว้ในสิ่งของ สถานที่ บทเพลง หรือแม้แต่ไดอะรี่ จะเป็นสิ่งที่สามารถเตือนใจเราถึงเหตุการณ์ในอดีตได้ในวันที่เราโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ว่าเราเคยเป็นใคร เคยผ่านพบอะไรมา และเคยเกิดความรู้สึกอย่างไรในหัวใจ ความทรงจำทุกรูปแบบล้วนมีค่า นี่คงเป็นเหตุผลที่มินแชอยากเลือกที่จะ ‘เก็บ’ ดีกว่าปล่อยให้มันสูญหายไป
10. ตลอดไป (ไม่) มีจริง
“ฉันจะครอบครองนาย แพคอีจิน”
“ฉันครอบครองนายไม่ได้อีกต่อไปแล้ว”
ข้อสุดท้ายคือความจริงที่เจ็บปวดและน่าใจหาย โลกอาจจะเหวี่ยงคนบางคนให้มาเจอกัน เหวี่ยงโอกาสหรือความหวังให้เราได้ไขว่คว้า แต่ไม่มีอะไรที่จะคงอยู่ได้ตลอดไป มีพบต้องมีจาก มีใกล้ต้องมีห่าง มีรักต้องมีเลิก
ทุกๆ จุดจบคือการเริ่มต้นใหม่ของบางสิ่งเสมอ จุดจบของความรักที่ลึกซึ้ง สวยงาม และยาวนานของฮีโดและอีจิน คือการแยกย้ายกันไปเติบโตเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ กับคนใหม่ด้วยความรู้สึกใหม่ๆ เมื่อเรารู้ถึงความจริงในข้อนี้ สิ่งที่เราทำได้ ไม่ใช่การฝืนโชคชะตา ไม่ใช่การพยายามหยุดช่วงเวลาใดช่วงเวลาหนึ่งให้คงอยู่ตลอดไป แต่เป็นการเก็บเกี่ยวความสุขจากช่วงเวลานั้นให้ได้มากที่สุด เพื่อให้เมื่อมองกลับมาแล้วจะยังมีความทรงจำที่ชัดเจนที่สุดเหลืออยู่ และเพื่อให้เราได้มีความรู้สึกพิเศษในหัวใจ ว่าครั้งหนึ่งเราเคยได้ครอบครองช่วงเวลาเหล่านั้น เราเคยได้ครอบครองใครบางคน แม้มันจะเป็นเพียงอดีตที่ผ่านไปแล้วและไม่มีวันหวนกลับมา แต่เราก็คงดีใจได้บ้างที่อย่างน้อย ‘ฤดูร้อนปีนั้น เป็นของเรา’
“เธอเหมือนฉันตอนอายุ 18
อยากกลับไปหรอ?
สุดหัวใจ”
เรื่องโดย พิชญา หวังปรีดาเลิศกุล