รีวิว FX’s Shogun EP.4 หลักการรักษาใจ ‘The Eightfold Fence’ หนึ่งในบทเรียนชีวิตวิถีญี่ปุ่น
FX’s Shogun EP.4 เป็นเรื่องราวในตอนที่ จอห์น แบล็กธอร์น กลับมาที่เมืองอะจิโร่ หรือบริเวณที่เรือมาอับปางเป็นครั้งแรก มาครั้งนี้ในฐานะของ ฮาตาโมโตะ หรือซามูไรคนสนิทของโทรานากะ มีหน้าที่ให้คำแนะนำและสอนเรื่องการรบให้กับกองทัพที่จะปักหลักที่เมืองอะจิโร่อย่างน้อยๆ 6 เดือน ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวในซีรีส์ FX’s Shogun ได้ทำให้เราเห็นการเปลี่ยนแปลงของตัวละครแบล็กธอร์น จากการที่ได้เรียนรู้และซึมซับวัฒนธรรมญี่ปุ่นมากขึ้น
ในอีพีนี้มีการนำวัฒนธรรมหลายอย่างของญี่ปุ่นเข้ามาในเรื่องราว ทั้งการรับประทาน นัตโตะ หรือถั่วเน่า ที่โลกตะวันตกไม่น่าจะเข้าใจ, การไม่เดินเหยียบมอสบนพื้นดิน เพื่อแสดงความนับถือ, การโค้งคำนับ ความสุภาพ ความรักในเกียรติยศศักดิ์ศรี หรือกระทั่งการโอบกอดจิตใจตัวเองให้ยังเข้มแข็ง แม้ว่าจะเกิดเรื่องราวมากมายเกินรับไหวในโลกความเป็นจริง
The Eightfold Fence เป็นสิ่งที่มาริโกะอธิบายให้แบล็กธอร์นฟังเพื่อให้เขาเข้าใจความเป็นญี่ปุ่นให้มากขึ้น เพราะที่ผ่านมาเธอเห็นความโกรธของเขาจากความไม่เข้าใจ แต่ในฐานะของฮาตาโมโตะ หรือตำแหน่งซามูไรขั้นสูง เขาควรเรียนรู้วัฒนธรรมอันเป็นพื้นฐาน อีกทั้งการอธิบายไอเดียนี้ทำให้ตัวแบล็กธอร์นเองเข้าใจในตัวมาริโกะมากขึ้นว่า หลักการ The Eightfold Fence นี่แหละที่ทำให้เธอยังคงรักษาใจอยู่ได้ แม้ว่าประสบการณ์ที่ผ่านมาในชีวิตนั้นเกินกว่าจิตใจคนจะทนไหว
The Eightfold Fence (内憂外患) หรือรั้วแปดขั้นในการรักษาจิตใจจากสถานการณ์ที่ยากลำบาก เป็นสิ่งที่คนญี่ปุ่นเรียนรู้กันมาตั้งแต่สมัยโบราณ อ้างอิงได้จากคำกล่าวของ Kojiki ในหนังสือเก่าแก่ที่สุดเล่มหนึ่งของญี่ปุ่น ‘Records of Ancient Matters’ ซึ่งก็คือการอนุญาตให้ผู้คนก่อสร้างกำแพงที่ไม่อาจพังทลายลงได้ภายในตัวเราเอง เป็นคติญี่ปุ่นที่ได้รับการสอนและถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น อย่างมาริโกะเองก็เรียนรู้คำสอนนี้ตั้งแต่ยังเล็ก มันคือการสร้างสถานที่ปลอดภัยข้างในจิตใจ สถานที่ที่เรายังคงความเป็นตัวของตัวเอง และควบคุมจิตใจตัวเองเอาไว้ได้ในวันที่มืดมิดของชีวิตบางช่วง
เพราะเราอ่อนแอเกินไป การสร้างรั้วแปดขั้นก็เหมือนสร้างกำแพงซ่อนความหวาดกลัว ความเศร้า ความอ่อนแอทั้งหมดไว้ในนั้น แต่ในขณะเดียวกัน สำหรับบางคนอาจเป็นกำแพงที่สร้างไว้ซ่อนความรู้สึกผิดชอบชั่วดี เพราะรู้ดีว่าสิ่งที่ทำอยู่ภายนอกคือความเลวร้ายอย่างที่สุด
สำหรับเหตุการณ์ในซีรีส์ FX’s Shogun มาริโกะอธิบายให้เข้าใจได้ว่าเหตุใดตัวละคร ฟูจิ ที่ผ่านเหตุการณ์สะเทือนใจจากการเสียสามีและลูกชาย จึงยังต้องคอยติดตามโทรานากะ และช่วยเหลือกระทั่งยอมเป็นภรรยาโดยนัยๆ ให้กับแบล็กธอร์น นั่นคือกลไกการรับมืออย่างหนึ่งกับความรู้สึกของคนเรา ในการอนุญาตให้แบ่งแยกความรู้สึกส่วนตัวออกจากสิ่งที่ต้องทำตามหน้าที่ และรับมือกับความรู้สึกเหล่านี้ให้ได้ แม้ว่าจะต้องทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ต้องการก็ตาม เช่นเดียวกันกับมาริโกะ เธอเองก็ใช้หลักการนี้ในการรักษาใจ เพราะสำหรับตัวเธอเองก็ผ่านเหตุการณ์เลวร้ายมาไม่ต่างจากฟูจิมากนัก
และถ้าเห็นในข่าวใหญ่หลายๆ ครั้งของญี่ปุ่นก็มีการอ้างถึงหลัก Eightfold Fence นี้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์หลังสงครามโลก หรือช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ การเผชิญหน้ากับปัญหาต่างๆ สำหรับคนญี่ปุ่นจึงมี The Eightfold Fence เป็นหนึ่งในกลไกการทำงานกับจิตใจ
“You must train yourself to listen without hearing, For instance, you can listen to the sound of a blossom falling, or rocks growing.
“If you really listen, the present circumstance vanishes.” – Mariko
“คุณต้องฝึกตัวเองให้ฟัง ไม่ใช่ได้ยิน อย่างเช่น ฟังเสียงดอกไม้ร่วงหล่นพื้น หรือก้อนหินที่ค่อยๆ ทับถมจนใหญ่ขึ้น ถ้าคุณฟังมันจริงๆ ก็เหมือนกับว่าสิ่งรอบๆ ตัวทั้งหมดก็หายไปจากตรงนั้น” – มาริโกะ
สำหรับ ดูซีรีส์ให้ซีเรียส การดูซีรีส์ FX’s Shogun เอาจริงๆ ก็อาจไม่ต่างกับคนดูฝั่งตะวันตกที่ต้องทำความเข้าใจกับเรื่องราว และมิติทางวัฒนธรรมที่แตกต่างไปของญี่ปุ่นเช่นกัน หลายๆ บทพูด รวมถึงตัวชื่อตอนก็แฝงปรัชญาญี่ปุ่นเอาไว้อย่างล้ำลึก
สำหรับ FX’s Shogun EP.4 เรื่องราวอยู่ในช่วงการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งสำคัญ เมื่อเกิดการคานอำนาจระหว่างไดเมียวทั้ง 5 เพื่อรักษาบัลลังก์ให้กับองค์รัชทายาทที่กำลังเติบโต ขณะเดียวกันการเข้ามาของโปรตุเกสก็ทำให้เกิดการค้าขายและเผยแผ่ศาสนา ส่วนการมาถึงของจอห์น แบล็กธอร์น ก็กลายมาเป็นตัวแปรสำคัญเช่นกัน
ขณะที่โลกภายนอกเต็มไปด้วยความขัดแย้ง การต่อสู้ระหว่างกองทัพของไดเมียวต่างๆ ความไม่ปกติ และเหตุการณ์สู้รบที่เกิดขึ้น นั่นหมายความว่าผู้คนเองก็ต้องเตรียมพื้นที่ปลอดภัยให้กับตัวเองทั้งทางร่างกายและจิตใจ ‘รั้วแปดขั้น’ จึงกลายเป็นหลักการที่ทรงพลังในการ ‘สงบสยบความเคลื่อนไหว’ และเอาตัวรอดในภาวะที่ไม่มีความปลอดภัยอะไรการันตีได้ในเวลานั้น
อย่างน้อยๆ ก็เป็นช่วงเวลาที่จิตใจเรา ‘ว่าง’ จากเรื่องต่างๆ รอบตัว และสงบสันติพอจะมองเห็นความงดงามเล็กๆ ที่อยู่ตรงหน้า ยิ้มได้แม้ในวันที่ทุกอย่างพังทลาย ฟังได้ยินกระทั่งเสียงกลีบดอกไม้ที่ร่วงหล่น
ภาพ: Disney+ Hotstar