เมื่อซีรีส์ Mr. Queen ฟูลเทิร์นมาเป็นการเมืองเดือดๆ
ในซีรีส์ Mr. Queen นอกจากความสัมพันธ์ของพระเจ้าชอลจงและพระมเหสีคิมโซยงที่กำลังก้าวหน้าแล้ว อีกหนึ่งเรื่องที่กำลังไต่ระดับความพลุ่งพล่านไม่ต่างกันคือ การเมืองวังหลวง ที่ร้อนระอุใกล้ถึงจุดเดือด
ทั้งคำพูดของชเวซังกุงที่อธิบายประเด็นการต่อสู้ในวังหลวงที่ว่า
“ในวังหลวงมีประวัติศาสตร์ที่จะเกิดขึ้นต่อไปอยู่ 3 อย่าง ความจงเกลียดจงชังอย่างซ่อนเร้นระหว่างผู้หญิง การต่อสู้เพื่อชิงอำนาจในราชสำนัก และการตายด้วยยาพิษ”
หรือคำพูดของน้องชายพระพันปีหลวง คิมจวากึน ที่กำลังเดินเกมรุกเพื่อเอาอำนาจคืนจากพระเจ้าชอลจง และทำให้ตระกูลคิมกลับมาเป็นเจ้าของอำนาจทั้งหมด
“สภามีไว้แก้ไขวิกฤตบ้านเมือง มีกษัตริย์ไร้ความสามารถยึดครองอาณาจักรถือเป็นวิกฤตบ้านเมืองใหญ่หลวงนัก จากนี้การตัดสินใจทุกอย่างเกี่ยวกับนโยบายจะต้องผ่านสภาป้องกันเขตแดน”
ก่อนที่ Mr. Queen อีพี 15 กำลังจะออนแอร์ ดูซีรีส์ให้ซีเรียส ขอชวนทุกคนมาทบทวนสถานการณ์ การเมืองวังหลวง ของแต่ละฝ่ายในตอนนี้ว่าเป็นอย่างไร มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ความเคลื่อนไหวของแต่ละฝักฝ่ายส่งผลกระทบอะไรกับใคร ไปดูกัน!
ประวัติศาสตร์ 3 อย่างของวังหลวง
“ในวังหลวงมีประวัติศาสตร์ที่จะเกิดขึ้นต่อไปอยู่ 3 อย่าง ความจงเกลียดจงชังอย่างซ่อนเร้นระหว่างผู้หญิง การต่อสู้เพื่อชิงอำนาจในราชสำนัก และการตายด้วยยาพิษ”
เราขอเริ่มด้วยคำพูดของชเวซังกุงในอีพี 12 ที่กล่าวถึงประวัติศาสตร์ 3 อย่างของวังหลวง ซึ่งซีรีส์ Mr. Queen ได้ดำเนินเรื่องราวตามลำดับคำบอกเล่าที่สรุปได้ว่า
1. ความจงเกลียดจงชังอย่างซ่อนเร้นระหว่างผู้หญิง คือสิ่งแรกที่ซีรีส์ Mr. Queen นำเสนอให้ผู้ชมเห็น เริ่มจากปริศนาการตกทะเลสาบของพระมเหสีที่ทำให้หลายฝ่ายสงสัยในตัวของพระสนมเอกโจฮวาจิน ก่อนเรื่องราวจะค่อยๆ เปิดเผยความจริงและความหลังของทั้งสองให้ผู้ชมรู้ทีละนิด นำมาซึ่ง ‘ความจงเกลียดจงชัง’ ที่ค่อยๆ ก่อตัวในจิตใจจนไม่อาจปกปิด ที่ตอนนี้ทุกคนรู้แล้วว่าหัวใจของชอลจงอยู่กับใคร
2. การต่อสู้เพื่อชิงอำนาจในราชสำนัก หลังเหตุการณ์ตกทะเลสาบของพระมเหสี จึงทำให้จางบงฮวาน (ในร่างพระมเหสี) ค่อยๆ ซึมซับสถานการณ์ในวังหลวงมากขึ้น ผนวกรวมกับความรู้ทางประวัติศาสตร์ที่เขาเคยร่ำเรียนมาในโลกปัจจุบัน จึงทำให้จางบงฮวานสัมผัสได้ถึงความดุเดือดของศึกระหว่างสองตระกูลที่ร้อนแรงไม่ต่างจากคำบอกเล่าในประวัติศาสตร์ แต่สิ่งที่แตกต่างเห็นจะเป็นการแบ่งออกเป็น 3 ฝ่ายระหว่างตระกูลคิม ตระกูลโจ และพระเจ้าชอลจง ที่อาจจะทำให้เกิดเรื่องราวพลิกผันเหนือความคาดหมายจากประวัติศาสตร์ที่เขาเคยรู้มา
3. การตายด้วยยาพิษ ที่ในอีพี 13 และ 14 ซีรีส์ได้เผยให้เห็นแล้วว่า ‘ยาพิษ’ คือหนึ่งใน ‘ไม้ตาย’ ของการโค่นล้มอำนาจในอดีต ซึ่งชอลจงเองได้ใช้คำว่ายาพิษกับคิมชางฮยอบในที่ประชุมสภา หลังจากสืบรู้ความจริงเรื่องดินปืนในกระถางธูป เช่นเดียวกับคิมจวากึนที่เลือกเดินเกมต่อโดยการใช้ไม้ตายนี้เพื่อรักษาไว้ซึ่งอำนาจของตน และเลือกใช้ยาพิษอย่าง ‘สารหนู’ ในการกำจัดพระมเหสี
“หม่อมฉันอยู่ในวังมาหลายสิบปี ได้เห็นผู้คนมากมายตายเพราะยาพิษหลากหลายชนิด พิษร้ายแรงที่คร่าชีวิตเพียงหนึ่งจิบ พิษที่ซ่อนอยู่ซึ่งจะค่อยๆ ออกฤทธิ์และทำให้ดูเหมือนว่าตายเพราะโรค แม้จะยังไม่ถูกเปิดเผย แต่หม่อมฉันมั่นใจว่าต้องมีผู้ที่ตายเพราะยาพิษอยู่จำนวนมากเป็นแน่” – ชเวซังกุง
ปฏิบัติการนกเพลิงอมตะ
ชื่อ ปฏิบัติการชูจัก (주작) หรือ ปฏิบัติการนกเพลิงอมตะ ที่ถูกจัดฉากขึ้นในวันซูริตของชอลจง มีชื่อเรียกเดียวกับ ‘ปิ่นปักผม’ ที่เคยถูกกล่าวถึงในอีพี 8 ที่พระพันปีโจไปรับของสองสิ่งจากโจมันฮง โดยหนึ่งในนั้นคือ ปิ่นปักผมนกเพลิงอมตะ (봉황첩지) ที่โจมันฮงกล่าวว่า “ตามกฎของราชวงศ์แล้ว มีเพียงพระมเหสีเท่านั้นที่สามารถปักปิ่นปักผมนกเพลิงอมตะได้”
ซึ่งปฏิบัติการนกเพลิงอมตะของชอลจงนี้เองที่สับขาหลอกทั้งสองตระกูลและคนดูได้อย่างอยู่หมัด จากตอนแรกที่ตระกูลคิมหวังจะเอาเรื่องการปลอมแปลงตัวตนขององครักษ์มาข่มขู่ เพื่อให้ชอลจงที่คิดจะสร้างพรรคพวกจากตระกูลใหม่ได้รับรู้ถึงความน่ากลัวของการไม่ขยับแขนขาในฐานะหุ่นเชิดของตระกูลคิม
ในขณะที่ตระกูลโจเองก็เตรียมแผนการเปิดโปงสมุดบัญชีลับของตระกูลคิมอย่างยิ่งใหญ่ โดยหวังใช้ประโยชน์เพื่อแก้แค้นและทำตามความปรารถนาของโจฮวาจินให้เป็นจริงไปพร้อมกัน
แต่แล้วในอีพี 13 ทุกอย่างก็กลับตาลปัตร เมื่อซีรีส์เผยให้เห็นถึงการเดินเกมอย่างชาญฉลาดของชอลจงที่หลายคนหลงนึกว่าเขาเอาแต่สนใจในสุรา ราคะ และเป็นเพียงหุ่นเชิดตามประวัติศาสตร์ แต่แท้จริงแล้วเขามีความต้องการอันแรงกล้าที่จะ ‘เปลี่ยนแปลง’ สองขั้วอำนาจในวังหลวง
นำมาซึ่งบทสรุป (ที่ยังไม่สุดท้าย) ของคิมจวากึนและคิมชางฮยอบที่ถูกปลดจากตำแหน่งและโดนเนรเทศ เช่นเดียวกับพระพันปีหลวงที่ต้องยุติตำแหน่งผู้สำเร็จราชการของตัวเองลง และทำให้ชอลจงพูดได้อย่างเต็มปากว่าจะ ‘เริ่มการปกครองโดยตรง’ จากตัวเขาอย่างแท้จริงสักที
สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือศัตรูภายใน
“เราต้องทำลายเขาขณะยังครองราชย์เพื่อใช้ประโยชน์ ถ้าเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นตอนเขามอบใจให้พระมเหสีแล้ว เขาก็คงรู้ตัวในวันที่แสนจะทุกข์ทรมานว่าคนที่อยู่ข้างตัวเองต้องเผชิญกับชะตากรรมน่าอนาถทั้งนั้น” – คิมจวากึน
แม้ผลลัพธ์ของปฏิบัติการนกเพลิงอมตะจะประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ แต่เราคิดว่ายังเร็วเกินไปที่จะนิ่งนอนใจ เพราะขึ้นชื่อว่า ‘เพลิง’ หากผู้จุดไม่สามารถดับไฟที่โหมกระหน่ำขึ้นมาได้ สุดท้ายแล้ว ‘เปลว’ ของมันอาจย้อนกลับเข้าตัวได้เช่นกัน
หลังจากรู้ตัวว่าประเมินคู่ต่อสู้ต่ำเกินไป คิมจวากึนจึงเริ่มเดินเกมใหม่โดยใช้ พระมเหสี เป็นเชื้อเพลิงในเปลวไฟที่ยังมอดลงไม่สนิท ด้วยเพราะตัวเขารู้ดีว่าชอลจงและคิมบยองอิน ลูกชายของเขารักผู้หญิงคนเดียวกัน
“สิ่งใดพังย่อมต้องเปลี่ยนใหม่ แต่พระองค์ยังเอาของพังมาใช้ประโยชน์ให้ถึงที่สุดได้ แล้วค่อยเอาไปทำเป็นเชื้อเพลิง… หากข้ากำจัดสตรีนางหนึ่งจากวังได้ ชายสองคนที่ทำขาเก้าอี้ข้าสั่นคลอนก็จะถูกทำลายด้วย” – คิมจวากึน
เช่นเดียวกับตระกูลโจที่ไหวตัวอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนแผนเปิดโปงเป็นการโยนความผิด จัดฉากให้พระมเหสี ‘สมคบคิด’ กับชอลจงด้วยการนำสมุดบันทึกลับไปซ่อนที่ตำหนักแทโจจอนเพื่อเชื่อมโยงเรื่องราวให้ดูเหมือนว่าพระมเหสีเป็นคนช่วยเหลือและทรยศตระกูลคิมของตนเสียเอง โดยลดแผนการลงเหลือเพียงทำตามคำขอของโจฮวาจิน ที่หากประสบความสำเร็จก็อาจพลิกโอกาสในการกลับมากุมอำนาจของตระกูลโจอีกครั้ง
“ขงจื๊อกล่าวว่าใจมนุษย์นั้นซับซ้อนกว่าธรรมชาติ มองใจคนให้ทะลุปรุโปร่งยากเสียยิ่งกว่ามองทะลุท้องฟ้า… สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือศัตรูภายในพ่ะย่ะค่ะ” – คิมจวากึน
เกมการเมืองใหม่ของสองขั้วอำนาจ
“สภามีไว้แก้ไขวิกฤตบ้านเมือง มีกษัตริย์ไร้ความสามารถยึดครองอาณาจักรถือเป็นวิกฤตบ้านเมืองใหญ่หลวงนัก จากนี้การตัดสินใจทุกอย่างเกี่ยวกับนโยบายจะต้องผ่านสภาป้องกันเขตแดน” – คิมจวากึน
ถึงจะถูกสั่งปลดและเนรเทศ แต่คิมจวากึนในฐานะที่เป็นน้องชายของพระพันปีหลวงนั้นยังคงมีอำนาจสูงสุดในตระกูลคิม สังเกตได้จากอีพี 14 ที่เขาเรียกรวมพลคนตระกูลคิม (โดยไม่ชวน คิมมุนกึน พ่อของพระมเหสีมาเข้าร่วม) ที่นอกจากจะวางแผนกำจัดพระมเหสีกับพระพันปีหลวงแล้ว เขายังวางแผนที่จะใช้ เสียงในสภา ของตระกูลคิมให้เกิดประโยชน์
ทำให้ถึงแม้จะไม่มีพระพันปีหลวงคอยบงการหลังม่าน ไม่มีคิมจวากึนคอยสังเกตการณ์ แต่ในที่ประชุมสภาล่าสุดเรื่องการปาหินของนางในวัย 5 ขวบนั้นก่อเกิดเป็นสายใยบางๆ ของสองตระกูลที่เข้าขากันเป็นอย่างดี โดยการไล่ขุดอดีตของดัมฮยางตั้งแต่เรื่องที่พ่อไม่จ่ายภาษีทหารไปจนถึงการก่อกบฏที่ได้อิทธิพลจากลัทธิทงฮัก (동학) ซึ่งเป็นการหยิบปมในอดีตของครอบครัวชอลจงมากดดันให้เขาต้องจำยอม
“มีกลุ่มคนสงสัยว่าฝ่าบาทเคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับลัทธิทงฮักสมัยอยู่คังฮวา ถ้าฝ่าบาทพยายามปกป้องและไม่ยอมลงโทษนางในผู้นี้ เราคงไม่มีทางเลือกนอกจากสันนิษฐานว่าฝ่าบาทก็สนับสนุนความคิดกบฏของพวกเขาเช่นกัน” – คิมบยองฮัก