รีวิว Money Heist: Korea – Joint Economic Area การปล้นครั้งใหม่ที่โรงกษาปณ์เกาหลี
***บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาของซีรีส์บางส่วน***
La Casa De Papel หรือ Money Heist ในเวอร์ชันสเปน เป็นซีรีส์ที่โด่งดังมากจากการปล้นสุดระทึกที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม ทำให้เราเอาใจช่วยทั้งแก๊งโจรและตำรวจ จนกลายเป็นปรากฏการณ์และสัญลักษณ์ของการต่อต้านไปทั่วโลก ทั้งยังมีสารคดี Money Heist: The Phenomenon ที่เจาะลึกเบื้องหลังความสำเร็จ
หลังซีซัน 5 จบลงไปได้ไม่นาน Money Heist ก็ประกาศรีเมกในเวอร์ชันเกาหลีตามมา และปล่อยข่าวให้แฟนๆ ติดตามอยู่เป็นระยะ เรียกได้ว่าสร้างความคาดหวังให้แฟนซีรีส์เป็นอย่างมาก เพราะทั้งนักแสดงและโปรดักชันก็ดูน่าสนใจพอที่จะสร้างสรรค์การปล้นในรูปแบบใหม่
Money Heist: Korea – Joint Economic Area ออกอากาศทาง Netflix 6 ตอนรวด ตื่นตาตื่นใจไปกับการปล้นโรงกษาปณ์ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจร่วม (JEA) ด้วยเนื้อเรื่องที่เข้มข้นและกระฉับชับไว พร้อมทั้งสอดแทรกประเด็นทางสังคมและวัฒนธรรมที่มีเฉพาะในเกาหลี จนทำให้ ดูซีรีส์ให้ซีเรียส อยากพาไปสำรวจประเด็นในเวอร์ชันเกาหลีที่แตกต่างไปจากเวอร์ชันก่อน
“ยินดีต้อนรับสู๋โลกทุนนิยม”
ความเป็นเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ เรียกได้ว่าเป็นประเด็นหนึ่งที่ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้แตกต่างจากซีรีส์เรื่องอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด
ในทางเศรษฐกิจ การเปิดเสรีภาพทางเศรษฐกิจของเกาหลีเหนือส่งผลกระทบหลายอย่างต่อทั้งสองประเทศ ไม่ว่าจะเป็น บริษัทเกาหลีใต้จำนวนมากเริ่มลงทุนกับเกาหลีเหนือ ทำให้เศรษฐกิจของเกาหลีเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น ชาวเกาหลีเหนือเริ่มเข้ามาเป็นแรงงานอพยพย้ายถิ่นในเกาหลีใต้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่งผลต่อแรงงานภายในประเทศของเกาหลีใต้ ทำให้มีชาวเกาหลีเหนือถูกนายหน้าหาบ้านและงานหลอก รวมถึงการปล่อยกู้ผิดกฎหมาย และกิจการประกอบซากรถยนต์เกาหลีใต้ให้หน้าตาดูเหมือนรถยนต์มือสอง ซึ่งล้วนเป็นการกระทำของนายทุนที่ทำให้แรงงานต้องแบกรับผลกระทบในโลกทุนนิยม
ร่วมมือ หรือหักหลัง
ผลพวงจากการแบ่งแยกประเทศมานาน ทำให้ชาวเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ที่มาอยู่ด้วยกันเกิดความระแวงและไม่เชื่อใจกันมากกว่าที่จะร่วมมือกันผ่านการปล้นครั้งนี้ ทั้งในแก๊งโจรที่เบอร์ลินมักจะเหน็บแหนมความเป็นเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้อยู่บ่อยครั้ง ตัวประกัน หรือแม้กระทั่งในหมู่ตำรวจ
หนึ่งในแผนการคุมตัวประกันที่ศาสตราจารย์เน้นย้ำอย่างหนักแน่น คือการปฏิบัติต่อตัวประกันอย่างมีมนุษยธรรม แต่ ยุนมีซอน (รับบทโดย อีจูบิน) พยายามฝ่าฝืนกฎด้วยการติดต่อคนนอก ทำให้เบอร์ลินสั่งลงโทษประหาร และใช้แผนการแบ่งตัวประกันออกเป็นเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้แบบที่จักรวรรดินิยมใช้กับประเทศอาณานิคม ซึ่งศาสตราจารย์ให้ใช้เมื่อมีเหตุการณ์คับขัน ซึ่งจะลงโทษอีกฝ่ายเมื่ออีกฝ่ายทำผิด เพื่อให้ตัวประกันดูแลกันเอง โดยอ้างว่าแม้จะมีโอกาสน้อย แต่ก็อาจทำให้เกิดการร่วมมือกันได้
เมื่อเป็นเช่นนั้น บรรยากาศระหว่างตัวประกันจึงเริ่มเปลี่ยนแปลงไปและตึงเครียดมากขึ้น โดยเฉพาะรองผู้อำนวยการชาวเกาหลีเหนือที่ตั้งพรรคพวกขึ้นมา และจับตาดู โจยองมิน (รับบทโดย พัคมยองฮุน) ผู้อำนวยการชาวเกาหลีใต้ที่มักจะก่อเรื่อง และอาจทำให้เกาหลีเหนือโดนลงโทษได้
อย่างไรก็ตาม แอนน์ คิม (รับบทโดย อีชีอู) เป็นลูกสาวของทูตอเมริกา จึงเป็นตัวละครที่ถือสัญชาติอเมริกัน ทำให้เธอถูกจับแยกออกจากสองฝ่าย และคล้ายว่าจะเป็นตัวละครหนึ่งที่พร้อมจะช่วยโดยไม่สนใจว่าจะเป็นชาวเกาหลีเหนือหรือเกาหลีใต้
การปล้นครั้งนี้อยู่ในพื้นที่เศรษฐกิจร่วม ทำให้ตำรวจทั้งสองต้องร่วมมือกัน แต่ก็ต้องมีผู้นำที่มาจากประเทศใดประเทศหนึ่ง ซึ่งมีผลในทางการเมือง ทำให้ในตอนแรกเกิดปัญหา แต่ในที่สุดก็ตกลงกันได้ว่า ซอนอูจิน (รับบทโดย คิมยุนจิน) ตำรวจผู้เชี่ยวชาญการเจรจาจากเกาหลีใต้จะเป็นผู้นำ แต่เหตุการณ์หลายอย่างทำให้ฝั่งเกาหลีเหนือคาดว่าเธอเป็นหนอนบ่อนไส้ที่ร่วมมือกับแก๊งโจร ทำให้เกิดปฏิบัติการลับหลังจนนำไปสู่ปัญหาตามมา ภายในกลุ่มตำรวจจึงไม่อาจเรียกได้ว่าร่วมมือกันได้อย่างเต็มที่ เพราะผลประโยชน์ทางการเมืองของฝั่งเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้
“ทุกคนต่างก็มีเรื่องราวของตัวเอง”
ภูมิหลังของตัวละครเป็นสิ่งหนึ่งที่ถูกนำมาเล่ามากขึ้นในช่วงเปิดของแต่ละตอน ซึ่งแตกต่างออกไปจากในเวอร์ชันสเปน และทำให้คนดูอย่างเราเข้าใจตัวละครมากขึ้น
โตเกียว (รับบทโดย จอนจงซอ) หญิงสาวชาวเกาหลีเหนือที่เป็น ARMY แฟนคลับผู้ชื่นชอบศิลปินเกาหลีใต้ ‘BTS’ แบบลับๆ ต่อมา เธอต้องเข้าเป็นทหารหญิงเกาหลีเหนือ และเมื่อสงครามระหว่างประเทศยุติลงเพราะการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ เธอหวังว่าจะได้เข้ามาใช้ชีวิตในเกาหลีใต้ แต่กลับถูกนายหน้าหางานและบ้านหลอก ทำให้เธอกลายเป็นผู้อพยพผิดกฎหมายและต้องทำงานหนักเพื่อใช้หนี้เงินกู้นอกระบบ
โตเกียวคิดว่านายทุนผู้ปล่อยกู้ผิดกฎหมายเป็นต้นเหตุของปัญหาที่ควรกำจัด แต่สุดท้ายก็ตระหนักได้ว่าสิ่งที่เธอทำนั้นไม่มากพอที่จะสั่นคลอนระบบทุนนิยมนี้ได้ เธอจึงเข้าร่วมการปล้นโรงกษาปณ์
เบอร์ลิน (รับบทโดย พัคแฮซู) หัวหน้าภาคสนามชาวเกาหลีเหนือ ในตอนเด็ก แม่ของเขาถูกยิงตายระหว่างการหนีข้ามพรมแดนบริเวณแม่น้ำยาลู่ ซึ่งเป็นแม่น้ำระหว่างจีนและเกาหลี ทำให้เขาถูกจับกลับและกลายเป็นแรงงานเด็กในค่ายกักกัน ผู้สร้างความแข็งแกร่งให้ตัวเองทุกครั้งที่ถูกคุมขัง กระทั่ง 25 ปีต่อมา เขากลายเป็นนักโทษแหกคุกแทชอนที่ทางการต้องการตัวมากที่สุด
ริโอ (รับบทโดย อีฮยอนอู) แฮกเกอร์อดีตนักเรียนแพทย์บ้านรวยที่ถูกบังคับให้เป็นหมอเพื่อสืบทอดตระกูลหมอรุ่นต่อไป ทั้งๆ ที่ครอบครัวรู้ว่าเขากลัวเลือด เขาจึงใช้ชีวิตเหลวแหลกเพื่อให้พ่อรู้สึกอับอาย ริโอจึงเป็นเหมือนตัวแทนนักเรียนของเกาหลีใต้ในปัจจุบันซึ่งถูกบังคับและกดดันให้เรียนตามที่พ่อแม่คาดหวัง ดังนั้น นอกจากจะมีความรู้ด้านการแฮกแล้ว เขาจึงเป็นคนที่มีความรู้ทางการแพทย์และฝีมือดีมากสุด ซึ่งในอนาคตอาจช่วยให้แก๊งโจรผ่านเหตุการณ์เฉียดตายไปได้
ศาสตราจารย์ (รับบทโดย ยูจีแท) อดีตศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยผู้ศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการรวมประเทศ เพราะการรวมประเทศจำเป็นต้องมีแผน งานศึกษาของศาสตราจารย์จึงเป็นส่วนสำคัญต่อการรวมประเทศ เขาพบว่ากิเลสคือกุญแจความฝันที่สำคัญซึ่งทั้งสองฝ่ายมีร่วมกัน และจะทำให้ทั้งสองรวมกันเป็นหนึ่งเดียวได้
จากบทสัมภาษณ์ จางยุนจู เล่าว่าไนโรบีเป็นอีกหนึ่งตัวละครที่มีเรื่องราวเบื้องหลังที่น่าสนใจอยู่ ซึ่งคาดว่าน่าจะปรากฏในพาร์ต 2
หากใครยังไม่เคยดูเวอร์ชันสเปน ซีรีส์เรื่องนี้จะทำให้ลุ้นระทึกไปกับการปล้นโรงกษาปณ์ได้อย่างแน่นอน แต่หากใครเคยดูแล้ว ซีรีส์เรื่องนี้จะเปิดความเป็นไปได้ใหม่และการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าใหม่ที่น่าติดตาม และหากใครดูจบแล้ว สงสัยว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป สามารถรอติดตามต่อได้ในพาร์ต 2 เร็วๆ นี้
เรื่องโดย อรณิชา ชูสกุล