Hospital Playlist 2 EP.5 อย่าเก็บมันไว้ลำพัง เพราะเราไม่ได้อยู่เพียงคนเดียวบนโลกใบนี้
หลังจากดู Hospital Playlist 2 EP.5 จบแล้ว หนึ่งประโยคที่ ดูซีรีส์ให้ซีเรียส ประมวลผลได้ก็คือ “อย่าเก็บมันไว้ลำพัง เพราะเราไม่ได้อยู่เพียงคนเดียวบนโลกใบนี้”
หลายเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหนึ่งชั่วโมงครึ่งของอีพีต่างมีคอนเซปต์ชุดนี้เชื่อมโยงเอาไว้ด้วยกัน ซึ่งจริงๆ แล้วอีพีนี้เดินเรื่องเร็วมาก เรามองเห็นเข็มนาฬิกาและปฏิทินที่ถูกฉีกผ่านไปอย่างว่องไว จนตอนท้ายของอีพีที่เรื่องราวก็ผ่านไปหนึ่งปี จบอีพีที่เดือนมีนาคม 2021 เหมือนในซีซั่นแรก อีพีแรก ที่เรื่องราวเกิดขึ้นในเดือนมีนาคมเช่นกัน
พีดีชินวอนโฮเคยให้สัมภาษณ์ไว้ตั้งแต่ซีซั่นแรกว่า Hospital Playlist จะดำเนินเรื่องราวตลอดหนึ่งปี แต่เพราะเกิดสถานการณ์โควิด-19 ทำให้การถ่ายทำไม่เป็นไปตามแผน เพราะถ้าสังเกตจะเห็นว่าถ้า EP.5 นี้เป็นตอนจบของซีซั่นแรกก็ลงตัวสวยงาม ตอบโจทย์การที่น้องอูจูจะโตขึ้นเพราะเวลาผ่านไปได้
แต่อย่างไรก็ดี อีพีนี้ก็ยังคงเต็มไปด้วยเรื่องให้เสียน้ำตาและเสียงหัวเราะสม่ำเสมอ รวมถึงปฏิกิริยาตอบสนองในหลายๆ เรือที่บ้างก็แล่นฉิวไปแล้ว บ้างก็ยังทอดสมอรออยู่ที่ท่า บ้างก็กำลังชักใบเรือขึ้นยอดเสา และบทสรุปของเรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไรบ้าง ดูซีรีส์ให้ซีเรียส จัดลำดับเหตุการณ์น่าพูดถึงในประเด็น ‘เพราะเราไม่ได้อยู่เพียงคนเดียว’ มาให้แล้ว
“ถ้ามีอะไรที่ไม่ดีเกิดขึ้น ยิ่งเป็นเรื่องเลวร้ายแค่ไหน ยิ่งต้องบอกนะ”
จองวอนขอคำสัญญาข้อหนึ่งจากคยออุลเพื่อให้เธอไม่ปิดบังเรื่องราวต่างๆ ภายในใจ เพราะโดยความจริงแล้ว เรามักไม่ชอบให้คนที่รักต้องมาเดือดเนื้อร้อนใจไปกับปัญหาของเรา หรืออีกนัยหนึ่ง บางทีเราก็คิดว่ามันเป็นปัญหาส่วนตัวที่เราต้องแก้ไข โดยลืมนึกถึงคนอื่นๆ ที่อยู่รอบข้าง
จนเมื่อเกิดเหตุทำร้ายร่างกายในโรงพยาบาล คยออุลสายแข็งก็บุกเดี่ยวเข้าไปขัดขวางสามีคนไข้ที่กำลังลงไม้ลงมือหลังจากเมาเหล้าได้ที่ ทำให้เธอบาดเจ็บไปด้วย แต่สุดท้ายเรื่องราวก็จบลงด้วยดี จองวอนที่คอยอยู่ข้างๆ ในห้องฉุกเฉินจึงอธิบายให้ฟังว่าเหตุการณ์ทำร้ายร่างกายนี้ อิกจุนก็สังเกตเห็นและกำลังแก้ปัญหาอยู่เช่นกัน
“ฉันก็กังวลแทบแย่ว่าแค่ลำพังตัวฉันเองคนเดียวจะทำอย่างไรดี แต่พอรู้กันหลายคนแบบนี้ มันก็มีวิธีแก้ขึ้นมานะคะ”
“ยิ่งเป็นเรื่องเลวร้ายแค่ไหน ยิ่งต้องบอกเลยนะ แล้วจะได้ขอความช่วยเหลือ”
จองวอนขอให้คยออุลรับปากว่าจะเอ่ยปากบอกเล่า เอ่ยปากขอความช่วยเหลือ เพราะขึ้นชื่อว่าปัญหา เราไม่ควรแบกมันเอาไว้คนเดียว
รอยยิ้มของผู้ป่วยมะเร็งตับระยะสุดท้าย
ในอีพีนี้ เคสคนไข้สำคัญของเรื่องคือผู้ป่วยมะเร็งตับระยะสุดท้ายที่มีสามีเป็นคนเฝ้าไข้ และในเอกสารยกผลประโยชน์ประกันชีวิตก็เป็นชื่อของสามีเธอ อิกจุนที่เป็นห่วงเป็นใยคนไข้ก็ยังสังเกตเห็นรอยฟกช้ำที่สดใหม่ จนทำเรื่องให้มี รปภ. มาประจำชั้นที่คนไข้พักรักษาตัวอยู่
กรณีนี้สะท้อนให้เห็นปัญหาความรุนแรงในครอบครัว การทำร้ายร่างกายโดยคนใกล้ชิด ซึ่งผู้รับเคราะห์ต่างไม่กล้าแจ้งความหรือกล้าพอที่จะเดินหนีออกมา ด้วยความที่วัฒนธรรมในเกาหลีไม่ยกย่องหญิงที่เป็นม่ายและหญิงที่หย่าร้างจนกลายเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ดังนั้นการที่ Hospital Playlist ตอกย้ำประเด็นความรุนแรงในครอบครัวก็เป็นอีกหนึ่งแรงผลักดันปัญหาสังคมให้ได้รับการแก้ไข
และเช่นเดียวกัน ผู้หญิงที่ถูกกดให้อยู่ใต้อำนาจสามีก็อาจคิดว่าการที่ตัวเองประสบปัญหานี้คงไม่มีใครยื่นมือเข้ามาช่วย แต่ในความจริงแล้วการจะมีคนยื่นมือมาช่วยหรือไม่ เราเองต่างหากที่ต้องยื่นมือออกไปก่อน เพื่อให้มีคนเห็นว่ามีคนเจ็บปวดและได้รับความทุกข์ทรมานอยู่ตรงนี้อีกหนึ่งคน
“ฉันเคยคิดว่าต่อให้ขอความช่วยเหลือก็คงไม่มีคนยื่นมือเข้ามาช่วย แต่นักสังคมสงเคราะห์ รวมถึงคุณหมอและพยาบาล ก็คอยห่วงใยฉันอยู่เสมอและคอยให้คำแนะนำตลอด จนฉันรู้สึกได้ว่าไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวค่ะ
“ถึงฉันจะเป็นผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย แต่ฉันก็อยากใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจ สักวันเดียวก็ยังดี”
ศิราณีซงฮวา ผู้หญิงที่เหมือนมีอายุมาแล้ว 800 ปี
“ก่อนอื่นเลย นายต้องพูดให้มากเข้าไว้
“นายต้องพูดเพ้อเจ้อออกมาบ้าง ต่อให้คิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ แต่มันก็อาจจะไม่ใช่เรื่องไร้สาระหรอก”
ศิราณีซงฮวามองเห็นปัญหาที่เกิดขึ้น และเข้ามายื่นมือช่วยเหลือหมอซอกฮยอง เหมือนที่หลายๆ ครั้งเธอเข้าไปช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้แพทย์ประจำบ้านทั้งเรื่องงานและเรื่องของหัวใจ
ซอกฮยองก็เปิดเผยความรู้สึกกับเพื่อนได้อย่างสนิทใจ เล่าเรื่องราวการตัดสินใจและการกระทำต่างๆ ที่เคยผิดพลาดในอดีต พร้อมทั้งยอมรับว่าตัวเขาเองยังคงเป็นคนที่ไม่ได้โตขึ้นเลยกับการเลือกหนีปัญหาที่เขาทำมาโดยตลอด ซึ่งศิราณีซงฮวาที่นำข้อมูลทั้งหมดไปคิด วิเคราะห์ แยกแยะ ก็รวบรวมออกมาเป็นวิธีแก้ปัญหา
ซอกฮยองเป็นคนที่ค่อนข้างเก็บตัว ยิ่งหลังจากพ่อมีบ้านเล็กบ้านน้อย น้องสาวที่รักมาเสียชีวิต แม่ก็เส้นเลือดในสมองแตกจนร่างกายอ่อนแอ เขาก็แทบปิดตัวเองจากคนอื่น อย่างที่ได้เห็นว่าเขาชอบอยู่คนเดียว ไม่กินข้าวกับเพื่อนร่วมงาน ใช้เวลาวันหยุดแทบทั้งหมดไปกับแม่ ซ้ำร้ายความผิดจากภรรยาเก่าที่เขาแทบไม่ได้ปกป้อง ก็ทำให้รู้สึกว่าตัวเองไม่ควรดึงใครมาทุกข์ทรมานไปกับเขาอีก
คำแนะนำของซงฮวาเป็นเรื่องง่ายๆ เพียงให้เขาเริ่มพูด เริ่มบอกเล่าสิ่งที่อยู่ในใจออกไป เพราะอย่างน้อยๆ การพูดก็คือการบอกออกไป และเมื่อเริ่มต้นทำเป็นประจำ การเปิดรับสิ่งใหม่ๆ และคนใหม่ๆ ก็จะยากน้อยลงไปเรื่อยๆ ความรู้สึกอึดอัดที่อยู่ในใจก็จะได้ระบายออกไปบ้าง เพราะไม่แน่ว่าอาจมีหลายคนรอคอยอยู่ เพียงแค่ซอกฮยองทลายกำแพงที่ล้อมรอบเอาไว้ลงไปบ้างเท่านั้นเอง
“ทุกปัญหามีทางออกจริงๆ นั่นแหละ”
ความลับที่คนดูเพิ่งรู้หลังจากผ่านไป 1 ปีก็คือเหตุผลที่ทำให้ซอกฮยองเลิกรากับชินฮเย ภรรยาเก่า ซึ่งปมปัญหาที่อยู่เบื้องหลังก็คือคุณแม่ของซอกฮยองนั่นเอง
ในช่วงเปิดอีพี 5 เราได้ร่วมฟังบทสนทนาระหว่างคุณแม่ของจองวอนและคุณแม่ของซอกฮยองที่คุยสารทุกข์สุกดิบที่ร้านกาแฟของโรงพยาบาล ซึ่งคุยไปคุยมาก็พบว่าเรื่องราวก็ไปเกี่ยวพันกับความสุขของแม่ที่มีเหลืออยู่อย่างเดียว คืออยากให้ลูกชายได้แต่งงานมีครอบครัวที่ดี และประเด็นนี้ก็ทำให้คุณแม่ของจองวอนต้องถามถึงอดีตลูกสะใภ้ว่าทำไมถึงเลิกรากับซอกฮยอง
เรื่องเล่าจากฝั่งแม่กับฝั่งสามีอาจจะไม่ตรงกันเสียทีเดียว แต่เท่าที่รู้ คุณแม่ยังคงความเป็นแม่ผัวสมัยเก่าที่ยึดถือเรื่องฐานะและสถานะทางสังคมมากกว่าความรักที่สามีภรรยาจะมีให้กัน คุณแม่โทรศัพท์หาลูกสะใภ้วันละ 30 สาย ตำหนิอยู่เสมอเมื่อรู้ว่าลูกชายให้เงินไปใช้หรือทำอะไร จนในที่สุดก็ถึงจุดที่ทำให้ชินฮเยกินยานอนหลับวันละ 6 เม็ด และไม่เหลือความสุขในชีวิตแต่งงาน
จุดแตกหักคือวันที่ชินฮเยรบเร้าให้สามีพาไปบ้านคุณแม่เพื่อทำหน้าที่ลูกสะใภ้ที่ดี ทำความสะอาดบ้านให้ เธอหยิบแหวนเพชรวงเล็กๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะ แม้ซอกฮยองจะเห็นเหตุการณ์ แต่ก็ไม่ได้ถามไถ่หรือพูดคุยอะไร สิ่งนี้อาจเป็นฟางเส้นสุดท้ายให้เยื่อใยที่เหลืออยู่ของทุกฝ่ายขาดสะบั้นลง
สำหรับคุณแม่ที่ปักใจเชื่อว่าลูกสะใภ้มีปัญหาเรื่องการเงิน รวมไปถึงครอบครัวที่ร่ำรวยจอมปลอม ก็เชื่อสนิทใจว่านิสัยลักเล็กขโมยน้อยของลูกสะใภ้ไม่คู่ควรกับลูกชายของเธอ
ซอกฮยองเองที่เปิดเผยแล้วว่าเป็นคนหนีปัญหาทุกอย่างที่เข้ามาตรงหน้า ก็เลือกที่จะมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและปล่อยให้มันดำเนินไป โดยที่ไม่ได้เข้าไปปกป้องหรือพูดคุยกับภรรยาเลย
ส่วนชินฮเย เรายังไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงหยิบแหวนเพชรนั้นไป แต่คาดเดาได้ว่าเมื่อสามีไม่มีปฏิกิริยากับความขัดแย้งที่เกิดขึ้น เธอจึงเลือกเส้นทางที่แตกหัก เพื่อดูว่าในสถานการณ์ที่ย่ำแย่ที่สุด สามีของเธอจะยังยืนอยู่ข้างเธอ คอยปกป้อง หรืออย่างน้อยๆ ก็พูดคุยกับเธอบ้างไหม
สร้อยเพชรที่ชินฮเยยังสวมอยู่ก็คงเหมือนปริศนาที่ยังค้างคาใจ และอาจเป็นเพราะตัวเธอเองที่ก็ไม่ได้พูดออกไปให้สามีได้รับรู้ถึงทุกข์สุขที่เธอเผชิญก็เป็นได้