Extraordinary Attorney Woo ทนายรยูแจซุก และบทกวีแด่สตรีเกาหลีผู้ยังต้องต่อสู้เพื่อหลุดพ้นสังคมชายเป็นใหญ่
รอยยิ้มของผู้พ่ายแพ้ ทนายรยูแจซุก หรือกลุ่มเพื่อนหญิงพลังหญิงที่ปรากฏในซีรีส์ Extraordinary Attorney Woo EP.12 ล้วนแต่เป็นผู้หญิงที่ได้รับผลกระทบจากแรงบีบอัดของ ‘ปิตาธิปไตย’ หรือสังคมชายเป็นใหญ่ของเกาหลีใต้
สองสาวพนักงานบริษัทที่ถูกบังคับให้ลาออก เนื่องจากผลกระทบของแผนปรับโครงสร้างบริษัทที่ไม่เป็นธรรมและไม่เท่าเทียมทางเพศ ผู้หญิงสองคนจากจำนวนร้อยกว่าๆ ที่เลือกเดินหน้าฟ้องร้องบริษัทต้นสังกัดกรณีเลือกปฏิบัติกับพนักงานหญิง ด้วยการให้คู่สามีภรรยาที่ทำงานในบริษัทเดียวกัน ฝ่ายภรรยาจะต้องเป็นผู้ลาออก มิเช่นนั้นฝ่ายสามีจะถูกพักงานและไม่ได้รับค่าจ้าง
และด้วยแผนการปรับองค์กรนี้ทำให้มีเพื่อนพนักงานหญิงกว่าร้อยคนที่ยอมรับข้อเสนออย่างจำยอม และก้มหน้าทำงานในฐานะพนักงานสัญญาจ้างต่อไปตามทางเลือกเท่าที่มี
ทนายรยูแจซุก เป็นแสงสว่างอันโดดเด่นในอีพีนี้ เพราะเธอเป็นทนายที่ทำหน้าที่เพื่อลูกความอย่างที่สุด ขณะเดียวกันก็ยังทำหน้าที่ในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องการแสดงให้สังคมเห็นถึงความเท่าเทียมและยุติธรรมระหว่างเพศสภาพ แต่กระนั้น ทนายรยูแจซุกก็ยังถูกมองจากคนในแวดวงว่าเป็นทนายแสบๆ เพียงเพราะโดดเด่นในคดีความด้านมนุษยธรรม และสำนักงานของเธอก็เล็กจิ๋วเมื่อเทียบกับฮันบาดาหรือแทซาน
อูยองอู เปรียบเทียบทนายความรยูแจซุกว่าเหมือนกับโลมาแม่น้ำแยงซี เป็นหนึ่งในสายพันธุ์โลมาหายากที่สามารถใช้ชีวิตในแม่น้ำได้ แตกต่างจากเหล่าโลมาตามปกติที่ใช้ชีวิตในท้องทะเล นั่นก็คงเช่นเดียวกับเส้นทางที่ทนายรยูเลือกเดิน คือแม้จะยากลำบากกว่า แต่ก็เป็นเส้นทางที่สง่างามและสร้างความภาคภูมิใจให้กับตัวตนในการได้ช่วยเหลือผู้คนผ่านหน้าที่ทนายความของเธอ
แม้ทนายรยูแจซุกและกลุ่มเพื่อนหญิงพลังหญิงจะแพ้คดี แต่พวกเขากลับกอดคอกันร้องไห้พร้อมๆ กับหัวเราะ และมีรอยยิ้มจากความภูมิใจที่ได้ส่งเสียงดังๆ ต่อต้านระบบชายเป็นใหญ่ เพราะการเป็นผู้หญิงหรือเป็นสะใภ้ไม่ใช่ว่าต้องเสียสละ ต้องทำทุกอย่างเพื่อสนับสนุนสามี ในโลกปัจจุบันนี้ หญิงและชายควรยืนบนความเท่าเทียม และหน้าที่ดูแลบ้าน-ครอบครัวก็ไม่ใช่ของผู้หญิงหรือลูกสะใภ้เพียงฝ่ายเดียวอีกต่อไป
ความอึดอัดของผู้หญิงเกาหลีที่สะท้อนผ่านซีรีส์ Extraordinary Attorney Woo ก็คงเหมือนกับที่เราได้เห็นในซีรีส์ มันถูกกดทับมายาวนานหลายชั่วอายุคน และยิ่งผู้ชายเป็นเจ้าของอำนาจ การต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมจึงยากเย็นขึ้นเป็นทวีคูณ แต่เพื่อทำลายระบบความเชื่อแบบปิตาธิปไตย พวกเราก็จำต้องต่อสู้กันต่อไป
และอย่างน้อยๆ การได้เริ่มต้นส่งเสียง เริ่มรวมพลังกันและกันระหว่างผู้หญิง เราย่อมรู้ว่าไม่ได้มีเพียงเราที่เจ็บปวดกับค่านิยมนี้ บทกวีที่ทนายรยูแจซุกอ่านให้ฟังในช่วงสุดท้ายของซีรีส์ได้สะท้อนความหมายมากมายภายในใจไว้ได้อย่างลึกซึ้ง
“แม้ว่าจะมีคำพูดอื่นอีกมากมาย แต่ชีวิตคือการยินดีกลายเป็นถ่านอัดก้อนหนึ่งเพื่อใครสักคนที่ไม่ใช่ตัวฉันเอง
“นับตั้งแต่วันที่พื้นเริ่มเย็น จนถึงวันที่ฤดูใบไม้ผลิมาเยือน สิ่งที่งดงามที่สุดบนถนนในคาบสมุทรเกาหลี คือรถบรรทุกถ่านอัดก้อนที่ส่งเสียงบรืนๆ พยายามขึ้นไปบนเนินเขา ราวกับมันรู้ว่ามันต้องทำอะไร เมื่อไรที่ถ่านอัดก้อนติดไฟ มันจะแผดเผาไม่มีที่สิ้นสุด
“แม้ฉันจะกินข้าวกับซุปร้อนๆ ทุกวัน แต่ก็ไม่เคยรับรู้เลย เมื่อรักใครหมดทั้งตัว ฉันกลัวที่จะหลงเหลือเป็นเพียงเถ้าถ่านที่เปล่าเปลี่ยวกองหนึ่ง ฉันจึงไม่เคยได้เป็นถ่านอัดก้อนสำหรับใครสักคนมาจนตอนนี้นี่เอง
“เมื่อลองคิดดู ชีวิตคือการบดขยี้ตัวฉันให้เป็นชิ้นเล็กๆ ยามเช้าตรู่ที่โลกลื่นเพราะหิมะตก ฉันไม่เคยรู้วิธีเปิดเส้นทางให้ใครสักคนได้เดินไปอย่างวางใจเลย นอกจากตัวฉันเอง”