Little Women EP.5-6 ทำทุกทางที่จะถีบตัวเองจากจุดที่ต่ำต้อยที่สุด ไปสู่จุดที่สูงที่สุด?
ผ่านกันมาครึ่งทางกับ สามพี่น้อง Little Women EP.5-6 ที่ขยันปล่อยปมปริศนาออกมาเรื่อยๆ แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้ไขปริศนาเดิมให้เราหายสงสัยสักเท่าไหร่ แถมยังมีปริศนาใหม่ให้เราต้องวิเคราะห์เจาะลึกกันอีก
และเท่าที่ซีรีส์ดำเนินมาถึงตอนนี้ เราก็ได้รู้ที่มาที่ไปของเรื่องราวต่างๆ เพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสมาคมกล้วยไม้นานาชาติ ความเป็นมาของคุณย่า หรือแม้แต่เรื่องราวใหม่ที่คาดไม่ถึงอย่างครอบครัวพัคฮโยริน แต่ซีรีส์ก็ยังไม่ละทิ้งหัวใจสำคัญ นั่นคือ ‘ความจนมันน่ากลัว’ และการถีบตัวเองจากจุดที่ต่ำต้อยที่สุดไปสู่ที่สูงที่สุด แถมยังขยี้ประเด็นนี้ได้ดีเหมือนเดิม
ไม่มีอะไรน่ากลัวกว่าการเกิดเป็นคนจน
ความจนเป็นสิ่งที่น่ากลัว อย่างที่อินจูบอกเอาไว้ว่า “ไม่มีเงินเท่ากับตาย” หรือความจนทำให้ถูกเหยียดหยามแบบที่โออินฮเยต้องเจอ อีกทั้งยังบีบให้เราต้องยอมทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะหลุดพ้นจากความจน ซึ่งไม่ต่างอะไรกับความต้อยต่ำที่สุดที่มนุษย์ถูกตีค่า ไร้ศักดิ์ศรี ไร้อำนาจ
และถ้ามองให้ลึกลงไป นอกจากสามพี่น้องแล้ว ตัวละครจำนวนไม่น้อยต่างก็ผลักดันตัวเองอย่างที่สุด เพื่อให้หลุดพ้นจากสถานะที่ต่ำต้อย ไม่ว่าจะเป็นตัวคุณย่าเอง ตัวพ่อฮโยริน และใครอีกหลายคนที่เราได้เห็นชะตากรรมแสนเศร้าในซีรีส์เรื่องนี้
โออินจูที่ยอมทิ้งตัวตน
ในอีพีก่อนหน้านี้ เราได้พบกับโออินจูที่ยอมถูกเรียกว่า หัวขโมย เพื่อแลกกับการได้มีเงิน 7 หมื่นล้านวอนไว้ในครอบครอง และในอีพีนี้เธอยังบอกกับคุณย่าว่า เธอสามารถทำทุกอย่างแม้กระทั่งทิ้งการเป็นตัวเองเพื่อแลกกับเงินก้อนใหญ่
“7 หมื่นล้านเป็นเงินก้อนใหญ่เกินไป ถ้าอยากจัดการเงินนั้น แกต้องสละทั้งชีวิตที่เคยมี แล้วเป็นอีกคนโดยสิ้นเชิง แกทำแบบนั้นได้ไหมล่ะ”
“ทำไมจะไม่ได้คะ ตอนนี้ชีวิตหนูมีอะไรซะที่ไหน หนูทิ้งได้ทุกอย่างค่ะ ไม่มีอะไรน่ากลัวกว่าการเกิดเป็นคนจนแล้วต้องอยู่อย่างแร้นแค้นไปตลอดชีวิตหรอกค่ะ”
ใครที่เคยมีชีวิตยากลำบาก ปากกัดตีนถีบมาตลอด ลำพังการได้มีที่ซุกหัวนอนอบอุ่น มีอาหารครบสามมื้อ มีเงินให้พอหารายได้เลี้ยงปากท้อง ก็คงพอเข้าใจว่าการที่เงินก้อนมหึมามาวางอยู่ตรงหน้า คือทางออกเดียวที่พวกเขาจะยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มา เพื่อไม่ต้องลำบากยากเข็ญในชีวิตอีกต่อไป เป็นความต้องการแรกเพียงอย่างเดียว เพราะสำหรับพวกเขา เรื่องอื่นใดเหนือจากนั้นค่อยมาว่ากันทีหลัง
คุณย่าที่ยอมสูญเสีย
เกิดเหตุการณ์มากมายระหว่างทางกว่าที่คุณย่าจะได้มาเป็นเศรษฐีอย่างทุกวันนี้ รวมไปถึงการที่เธอต้องแลกมาด้วยการสูญเสียทั้งคนรอบข้าง และการตายของคนอื่น
“ฉันเกิดในเกาหลีช่วงปี 1940 ในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง ไม่ได้เล่าเรียน แต่งงานด้วยความฝืนใจ จนหย่าแล้วกลับมาที่นี่ ถ้าฉันคิดว่าชีวิตมันห่วยแตก ฉันคงทำอะไรไม่ยั้งไปแล้ว แต่ฉันคิดว่าโลกเรามันก็แบบนี้”
“คุณย่าเคยบอกว่าเลือกที่จะเป็นเศรษฐีใช่ไหมคะ แต่ว่าคุณย่าคะ คุณย่าเลือกที่จะเป็นเศรษฐีแล้วทนดูคนอื่นตายไปด้วยได้ยังไงคะ”
แม้ทั้งสองจะอายุต่างกัน เกิดมาในสภาพสังคมและยุคสมัยที่แตกต่างกัน แต่สิ่งที่ทั้งสองต้องเผชิญเหมือนกันก็คือ ‘ความจน’ ที่บีบให้ต้องยอมทำทุกอย่างเพื่อที่จะถีบตัวเองขึ้นมาจากบ่อแห่งความจนนี้ แม้ว่าสิ่งนั้นจะไม่เป็นที่ยอมรับ หรือไม่ถูกต้องก็ตาม คนที่ไม่เจอกับตัวอาจจะจินตนาการไม่ถึงเลยว่าคนคนหนึ่งสามารถทำได้มากขนาดไหนเพื่อแลกกับการที่ได้หลุดพ้นจากความจน
สำหรับคุณย่าที่เกิดในยุค 40 ก็ต้องบอกกันตรงๆ ว่า เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับคนเกาหลี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้หญิงคนหนึ่งที่หย่าร้าง ซึ่งทำให้สถานะทางสังคมไม่เป็นที่ยอมรับ เพราะฉะนั้นอย่างเดียวที่ดึงให้สถานะของคุณย่ากลับมาได้ก็คือการเป็นเจ้าของเงินทองจำนวนมหาศาล ที่นอกจากจะทำให้สถานะของหญิงม่ายได้รับการยอมรับ ยังทำให้เธอหลุดพ้นจากความยากจนอีกด้วย และถ้านั่นต้องแลกมาด้วยอะไรสักอย่าง มันก็คงคุ้มค่าพอกับโรคนอนไม่หลับที่กัดกินเธอมาโดยตลอด
เมื่อมีคนที่รัก เราจะรอบคอบมากขึ้น
โออินจูถามวอนซังอาว่าทำไมถึงมอบหมายงานที่สิงคโปร์ให้เธอ ซึ่ง จินฮวายอง พี่สาวคนสนิทของโออินจูได้ทำงานนี้มาก่อน และสุดท้ายก็หักหลังเธอ ซึ่งเธอได้ให้เหตุผลว่าก็เพราะโออินจูมีคนที่รักยังไงล่ะ
“ฮวายองไม่มีใคร แต่คุณอินจูมีน้องๆ ในเมื่อเรามีคนที่รักก็คงทำอะไรมุทะลุแบบนั้นไม่ได้… ฮวายองกลายเป็นแบบนั้นหลังจากแม่เธอเสียชีวิต” เธอรู้ว่าอินจูรักน้องๆ ยิ่งกว่าชีวิตตัวเอง จึงมอบหมายงานที่ได้จับเงินมหาศาลแก่โออินจู ทั้งๆ ที่รู้ว่าเธอมีโอกาสชิ่งเงินหนีไป
วอนซังอารู้ว่าโออินจูจะไม่หักหลังเธอแน่นอน เพราะถ้าทำอย่างนั้น น้องๆ ของเธอก็จะเป็นอันตรายตามไปด้วย อาจเรียกว่าเอาคนที่รักมาเป็นตัวประกันได้เลย การมีคนที่รักทำให้เรามักจะทุ่มเทและยอมทำทุกอย่างเพื่อได้มาซึ่งสิ่งที่ดีที่สุด ในทางกลับกัน เราก็มักจะทำอะไรมุทะลุไม่ได้ เพราะห่วงว่าคนที่เรารักจะได้รับผลกระทบตามมา
ครอบครัวการละคร
เชื่อว่าบางคนอาจสงสัยว่าทำไมพัคฮโยรินถึงอิจฉาโออินฮเยที่ได้รับความรักจากพี่สาวทั้งสองคนนัก ทั้งๆ ที่ครอบครัวเธอก็ดูอบอุ่นดี และใน EP.5 ก็ได้เฉลยแล้วว่าเบื้องหลังนั้นกลับตรงกันข้ามจากสิ่งที่แสดงให้เห็นหน้ากล้อง
“ตอนนี้ฉันกำลังแสดงละคร 24 ชั่วโมงค่ะ เป็นภรรยาที่รักของพัคแจซัง”
“พ่อฮโยรินกับฉันคือนักแสดงตีบทแตกค่ะ… ฉันเป็นคนแคสต์เขามาเองกับมือ”
ทั้งคู่แต่งงานกันเพื่อผลประโยชน์ วอนซังอาเลือกแต่งงานกับพัคแจซัง ลูกชายคนขับรถของพ่อตัวเอง เพราะเห็นความทะเยอทะยานในตัวเขา และคิดว่าเขาจะยิ่งใหญ่และมีอำนาจในอนาคต ส่วนพัคแจซังก็หวังว่าจะได้เป็นคนใหญ่คนโตจากการแต่งงานกับลูกสาวนายพล และทุกอย่างก็เป็นไปตามที่คาด
ประเด็นของครอบครัวนายพลก็ยังคงมีความน่าสงสัยอีกหลายส่วน รวมถึงอาการเจ็บป่วยที่ยังไม่ได้เปิดเผยความจริงออกมาว่าเกิดอะไรขึ้น และตัวละครนี้จะกลับมามีชีวิตในซีรีส์อีกหรือไม่
สมาคมจองรัน จิตวิญญาณแห่งกล้วยไม้
โอฮเยซุก คุณย่าของสามพี่น้อง เคยบอกว่ารู้จักกับ พัคอิลบก พ่อของพัคแจซัง ซึ่งในอีพีนี้ก็ได้เฉลยแล้วว่าทั้งคู่เป็นสมาชิกของสมาคมจองรัน หรือสมาคมกล้วยไม้นานาชาติ ร่วมกับ วอนกีซอน (พ่อของวอนซังอา) คิมดัลซู (ประธานธนาคารโบแบ ที่เสียชีวิตในห้องน้ำที่โรงพยาบาล) และสมาชิกอีกจำนวนหนึ่ง
สมาคมจองรัน คาดว่าถูกก่อตั้งในปี 1973 เริ่มจากการครอบครองที่ดิน 130,000 พยอง (ประมาณ 268 ไร่) และทำอสังหาริมทรัพย์ร่วมกัน และเป็นสมาคมที่เกี่ยวข้องกับงานกล้วยไม้นานาชาติที่สิงคโปร์เพื่อให้มหาเศรษฐีทั่วโลกเข้าร่วมเป็นประจำทุกปี กิจกรรมเบื้องหน้าคือการประมูลกล้วยไม้ แต่เบื้องหลังคือแหล่งหาเงินโดยทุจริตของเศรษฐีเหล่านั้น
ดูเหมือนว่าสมาคมนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง ตั้งแต่การเป็นเศรษฐีของคุณย่า ความร่ำรวยของตระกูลวอนที่สืบทอดมาจนถึงรุ่นลูก และต้นตอของกล้วยไม้สีน้ำเงิน
คุณย่าพยายามบ่ายเบี่ยงหลังจากที่หลานสาวถามถึงความสัมพันธ์ของเธอกับตระกูลวอน เธอไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจน แต่ห้ามไม่ให้หลานสาวเข้าไปยุ่งจะดีกว่า อีกทั้งวอนซังอาก็ดูมีท่าทีที่แปลกๆ ตอนคุณย่ามาที่บ้าน ทำให้ปริศนาของสมาคมจองรันยิ่งน่าสงสัยเข้าไปอีก
ความจนจะบีบให้คนเราทำอะไรมากกว่านี้ได้หรือไม่ จะถึงขั้นทรยศคนที่รักเราหรือเปล่า และสมาคมจองรันจะช่วยแก้ปมปริศนา หรือทำให้ผู้ชมอย่างเราต้องปวดสมองมากกว่าเดิม ต้องติดตามกันต่อไป
เรื่องโดย ธัญฐรัตน์ โกมลวัฒน์