Love Next Door EP.4 “การได้ที่หนึ่ง เป็นเรื่องเดียวที่ฉันยอมเสพติด”
Love Next Door EP.4 แบซอกรยู ทำให้เราเห็นความกล้าแกร่ง ไม่กลัวอะไร ล้นๆ ทำทุกอย่างแบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยของเธอ ที่ในที่สุดก็ค่อยๆ เปิดเผยความจริงข้างในออกมาให้คนดูได้รู้ ผ่านประโยคที่เธอพูดเอาไว้ว่า “การเป็นที่หนึ่ง เป็นเรื่องเดียวที่ฉันยอมเสพติด”
ดูซีรีส์ให้ซีเรียส มองทะลุผ่านความน่ารำคาญนิดๆ ความล้นหน่อยๆ ของแบซอกรยู มองเห็นความใสบริสุทธิ์ ความมุ่งมั่นที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เป็นที่หนึ่งในทุกเรื่อง ทั้งการเรียน การกีฬา การงาน เพื่อทำให้มั่นใจในตัวเองว่าได้รับความรัก ได้รับความสนใจจากคนรอบข้าง
เราทุกคนก็ต่างเกิดและเติบโตมาในวัฒนธรรมการเป็นที่หนึ่ง กรอบสังคม ความเชื่อ ค่านิยม ในการเป็นเด็กที่น่ารักที่สุด เรียนเก่งที่สุด เหรียญทอง ห้องกิฟท์ เกียรตินิยม ได้เข้าทำงานบริษัทใหญ่ที่สุด ได้แต่งงานกับคนมีแบ็กกราวด์ดีที่สุด มีลูกที่เชิดหน้าชูตาพ่อแม่ได้ดีที่สุด ประสบความสำเร็จที่สุดในรุ่น ฯลฯ
เอาเข้าจริงๆ ความเป็นที่หนึ่ง การได้รับคำชม ความรัก ลูบหัว สวมกอด มันตอบสนองความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ในการได้รับความรัก และเราต่างพยายามแทบตายเพื่อให้ได้รับความรู้สึกรักเหล่านั้น
Love, Sense of Belonging
“ความรัก เป็นความต้องการพื้นฐานที่ทุกคนมีติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด เป็นสิ่งที่คนต้องการอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทุกคนอยากเป็นและพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองเป็นที่รักของใครสักคน”
เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม เราจึงต้องการและไขว่คว้าหาความรัก การได้อยู่ร่วมกลุ่มกับคนอื่นๆ ในสังคม ซีรีส์ Love Next Door ก็ทำให้เห็นประเด็นนี้ผ่านตัวละครจากรุ่นพ่อแม่สู่ลูก
แบซอกรยู เกิดในครอบครัวชนชั้นกลาง พ่อที่มีปมด้อยว่าฐานะไม่ดี มีอาชีพเป็นเพียงเจ้าของร้านอาหาร เลยทำให้ภรรยาและลูกมีชีวิตร่ำรวยแบบเพื่อนบ้านไม่ได้ เวลาเกิดปัญหาอะไรก็พานโทษตัวเองอยู่เสมอว่าเป็นเพราะพ่อเองที่ทำให้ลูกๆ ไม่ได้รับโอกาสต่างๆ
แม่ของแบซอกรยู หนึ่งในก๊วนเพื่อนที่คนอื่นๆ ดูเหมือนได้ดิบได้ดีไปหมด แต่เธอยังคงทำร้านอาหารกับสามี แม้จะไม่ได้แสดงออกมากนัก แต่เธอที่อยู่ในค่านิยมการเป็นที่หนึ่งอันเข้มข้นของ Gen X ก็ยังทำให้เห็นว่าอับอายกับความล้มเหลวของลูกสาว ที่ทั้งล่มงานแต่งงาน และลาออกจากองค์กรระดับโลก
แบซอกรยู ที่แสดงตัวเป็นเจ้ใหญ่กับ ชเวซึงฮโย มาตั้งแต่เด็ก ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่าเธอเป็นผู้ใหญ่ เข้มแข็งพอจะดูแลเพื่อนวัยเดียวกันได้ กับครอบครัว เธอก็มีหน้าที่เรียนให้เก่งเพื่อจะมีหน้าที่การงานดีๆ ลบความรู้สึกผิดของพ่อแม่ที่ไม่สามารถมอบ ‘แต้มต่อ’ ในชีวิตให้กับเธอได้ จนกลายเป็นประโยคไวรัลที่เธอเผยความในใจกับแม่ใน 2 อีพีแรกว่า แม่มองเธอเป็นกระดาษห่อของขวัญให้ชีวิต
แบซอกรยู เรียนเก่งจนอยู่ในอันดับท็อปของโรงเรียน สอบชิงทุนไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา ตอนที่ทำงานกับบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลก เธอก็ทุ่มหมดหน้าตักกับการทำงาน ทั้งหมดนั้นก็เพราะคำชื่นชม คำที่ทำให้ตัวเธอมีคุณค่า คำที่ทำให้เธอได้รับความรัก ความไว้ใจ จากทุกๆ คนรอบตัว
และเมื่อทั้งหมดนั้นล่มสลาย ในดินแดนไกลจากบ้านเกิด ครอบครัว เพื่อนสนิท ก็ไม่น่าแปลกใจเลยที่แบซอกรยูจะตัดสินใจกลับมาอย่างพ่ายแพ้
Burn out
การทำงานในองค์กรใหญ่ยักษ์อาจเป็นหลักประกันความสำเร็จให้กับหน้าที่การงาน แต่ในหลายๆ องค์กร เรากลับพบว่าพนักงานเกิดอาการ Burn out จากการทำงานหนักแบบถวายหัว แต่ถึงอย่างนั้น ด้วยระบบองค์กรขนาดใหญ่ก็ไม่ได้เอื้อให้เหล่าพนักงานที่ทุ่มเททำงานหนักนั้นได้หยุดพักหายใจ เพราะตลอดเวลาคือการวิ่งไปข้างหน้า ใครที่มัวแต่หยุดพักก็คงไม่ใช่เพื่อนร่วมทางอีกต่อไป
สำหรับแบซอกรยูที่มีพื้นฐานเป็นคนหัวดี เรียนเก่ง ทำงานเก่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว การทำงานหนักในองค์กรยักษ์ใหญ่ที่ถึงแม้จะเหนื่อยยากแค่ไหน เธอก็ยังวิ่งวนไปตามนั้น เพราะทุกครั้งที่ได้รับคำชม มันก็เหมือนการบอกว่าที่เธอวิ่งไม่หยุดนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว
จนวันที่รู้ความจริงว่าในโลกของการทำงานก็มีทั้งคนที่วิ่งไปกับเธอ และคนที่ดูเหมือนว่าจะวิ่งไปด้วย แต่จริงๆ หลบหลังแล้วแอบใช้เธอดึงไปข้างหน้า พวกเขามองเห็นแค่ผลประโยชน์ที่เรียกหาเอาได้จากตัวแบซอกรยู และตอบแทนเธอด้วยคำชื่นชมที่ไม่มีความจริงใจ
ซีรีส์เปิดปมปัญหาใน EP.4 เอาไว้ว่าเธอมีปัญหาส่วนตัวบางอย่าง ถึงได้หยุดพักการทำงานกับ GRAPE ไประยะหนึ่งเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ไม่แน่ว่าปมของแบซอกรยูครั้งนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับสภาพจิตใจ ที่แม้แข็งแกร่งมาจากไหนก็ย่อมอดทนไว้ไม่ไหว
และด้วยบาดแผลชีวิตเมื่อ 3 ปีก่อน ก็อาจเป็นคำตอบที่ทำให้เราเข้าใจได้ว่าทำไมแบซอกรยูที่เราเห็นในซีรีส์ Love Next Door ถึงได้มีความโปรดักทีฟสุดๆ ทำโน่นทำนี้หลายอย่างด้วยพลังงานเหลือล้น เล่นใหญ่กับการแสดงออกสุดๆ
หรือไม่แน่ว่ามันคือการสร้างเกราะกำบังภายนอกที่แข็งแรง เพื่อปกป้องภายในที่แหลกสลาย