Hometown Cha-Cha-Cha เพราะผ่านพ้นจึงค้นพบ จดหมายฉบับสุดท้ายจากคุณกัมรีสู่ลูกชาย หลานชายชื่อฮงดูชิก
“ดูชิก กินข้าวปลาหน่อยเถอะ ไม่ว่าจะมีเรื่องทุกข์ทรมานแค่ไหน แต่คนเราก็ต้องกินข้าวนะ แกมีแผลใจมาตั้งแต่เด็กๆ สิ่งที่ฉันทำเพื่อแกได้ก็มีแค่กับข้าวกับปลาเท่านั้น แกกินกับข้าวฝีมือฉันจนตัวสูงใหญ่ รู้ไหมว่าฉันภูมิใจมากขนาดไหน
“ดูชิก จำที่แกเคยบอกฉันได้ไหม ว่าสิ่งที่พ่อแม่ควรจะทำเพื่อลูกมากที่สุดคือการไม่เจ็บไม่ป่วย หัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่ก็ไม่ต่างกันหรอก ใจของพ่อแม่แทบแหลกสลายเมื่อลูกเจ็บป่วย
“ดูชิก แกเป็นทั้งลูกชายและหลานชายของฉัน ห้ามลืมเรื่องนั้นเด็ดขาดนะ
“ดูชิก คนเราต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางคนอื่นๆ บางครั้งการใช้ชีวิตก็ดูเหมือนแสนหนักอึ้ง แต่ถ้าเราเลือกที่จะอยู่ท่ามกลางคนอื่นๆ จะต้องมีใครสักคนช่วยแบกแกขึ้นหลัง เหมือนอย่างที่แกทำเพื่อฉันแน่นอน
“เพราะงั้นนะ ดูชิก อย่ามัวแต่ขังตัวเองไว้คนเดียวเลย กินข้าวฝีมือยาย แล้วรีบออกมาเถอะนะ”
จดหมายของคุณกัมรี เขียนลงบนกระดาษที่ฉีกออกมาจากสมุด ลายมือห่างๆ ที่เขียนด้วยหญิงชราวัย 70 ปี แต่กลับมองดูแล้วสวยงาม เป็นการถ่ายทอดคำพูดสุดพิเศษที่แค่ฮงดูชิกเห็นก็น้ำตาไหล ยิ่งได้อ่านก็ซึมซับได้ว่าในชีวิตทุกข์ทนของเขา ก็มีคุณกัมรีนี่ล่ะที่เป็นเสาหลักสำคัญ คอยประคับประคองจนผ่านพ้นพายุใจ และกลับมาเริ่มต้นมีชีวิตใหม่อย่างค่อยเป็นค่อยไป
คุณกัมรีเองที่รู้ว่าเวลาในชีวิตเหลืออยู่ไม่มากนัก เธอก็เพียงอยากให้หลานชายคนนี้ได้มีชีวิตต่อไปได้ กินข้าวอิ่ม ใส่เสื้อผ้าอุ่นๆ มีผู้คนรายล้อม มีคนรักคอยแบกรับไว้ในวันที่เขาร่วงหล่น ความหวังดีของพ่อแม่ที่แท้คือแบบนี้
จดหมายมีพลังในตัวของมันเอง ด้วยการเป็นคำพูดที่จับต้องได้ เป็นหลักฐานยืนยันการมีอยู่ของคนคนหนึ่ง ทุกครั้งที่ฮงดูชิกหยิบจดหมายคุณกัมรีขึ้นมาอ่าน ทุกครั้งที่มองเห็นลายมือที่บรรจงเขียน จะมองเห็นความทะนุถนอมและความรักที่ส่งผ่าน จนถึงวันหนึ่งเขาจะจดจำทุกคำที่เขียนไว้ ราวกับว่ามันไหลเวียนอยู่ในร่างกาย เป็นความรักที่จะมาทดแทนความโศกเศร้าให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไปได้ และในวันหนึ่งอาจจะจากโลกนี้ไปด้วยรอยยิ้มเช่นเดียวกัน