Twenty-Five Twenty-One EP.15-16 ความสัมพันธ์แบบรุ้งกินน้ำ ที่แม้จางหาย แต่ยังคงอยู่ในหัวใจ
Twenty-Five Twenty-One EP.15-16 ปิดฉากไปอย่างสวยงาม และเป็นซีรีส์ที่มีความหมายทางใจต่อคนดูจนกลายเป็นวาระแห่งชาติทุกๆ วันเสาร์-อาทิตย์ กับการตามสืบว่าใครคือพ่อของคิมมินแช? ถึงแม้ว่าซีรีส์เรื่องนี้จะใช้ประเด็นคำถามเรื่องพ่อมาสุมไฟจนคนดูโดนหลอกให้หลงทาง และไม่ได้เฉลยเรื่องพ่อ แต่เรารู้สึกว่าจุดจบความสัมพันธ์ของแพคอีจินและนาฮีโดในวัย 25 และ 21 เป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทั้งคู่ในตอนนั้น แม้ว่าจะต้องเลิกราและเสียน้ำตา แต่ชีวิตก็เป็นเช่นนี้ รักแรกในวัยเยาว์อาจไม่ได้สมหวังแบบที่จะต้องอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขเสมอไป
ถ้าลองสังเกต ในทุกตอนของ Twenty-Five Twenty-One มักจะมีองค์ประกอบที่เป็นสีของรุ้งกินน้ำซ่อนอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเก้าอี้ 5 ตัวในสตูดิโอของนาฮีโด, ล็อกเกอร์ในรังลับของเด็กๆ, หมอนรองนั่งของจีซึงวาน และอาร์ตเวิร์กเพลงประกอบซีรีส์ (Ost.) ก็ยังเป็นสีรุ้ง
หลังจากที่ดู Twenty-Five Twenty-One ครบทั้ง 16 ตอน ดูซีรีส์ให้ซีเรียส ชอบการที่คนเขียนบทเลือก ‘สายรุ้ง’ มาเป็นตัวแทนของความสัมพันธ์และมิตรภาพมากๆ เพราะสีของสายรุ้งที่มีหลากหลาย ก็เหมือนกับรสชาติของชีวิตที่ไม่ได้มีเพียงความสุข ความสดใส แต่ยังมีความเศร้าและผิดหวังที่ผสมปนกันจนชีวิตมีหลายมิติ และทำให้การมีชีวิตอยู่น่าจดจำ
เราไม่ควรรักกันในรูปแบบนี้เลย..
ฟ้าหลังฝนย่อมสวยงามเสมอ เราต่างรู้ดีว่าเส้นทางชีวิตของนาฮีโดและแพคอีจินไม่เคยง่ายเลย กว่าจะมาถึงจุดที่มีความสุขจนยิ้มได้อย่างเต็มที่ ทั้งคู่ต้องผ่านบททดสอบในชีวิตมานับไม่ถ้วน แต่ในวัย 23, 19 ทั้งนาฮีโดและแพคอีจินต่างก็เจอ ‘สายรุ้ง’ ของตัวเองแล้ว
สายรุ้งที่ไม่ใช่แค่คำนิยามความสัมพันธ์รูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง แต่หมายถึงความรักที่เป็นทุกๆ อย่างของกันและกัน ไม่ว่าจะเพื่อน พี่ และคนรัก ที่สำคัญที่สุดคือกำลังใจในวันที่อ่อนล้า
จากวันที่นาฮีโดเข้ามาในชีวิตของแพคอีจิน ความไร้เดียงสาของเด็กแสบคนนี้ก็ทำให้เขาได้เรียนรู้อะไรมากมาย ถึงแม้การต้องโตเป็นผู้ใหญ่อย่างกะทันหันจะทำให้แพคอีจินหลงทางและไม่มีความสุขเอาเสียเลย แต่อย่างน้อยเวลาอยู่กับนาฮีโด เขาก็อนุญาตให้ตัวเองหัวเราะและมีความสุขได้บ้าง เด็กสาวที่ชื่อนาฮีโด ค่อยๆ พังทลายกำแพงที่แพคอีจินมี รู้ตัวอีกทีเธอก็เข้ามาอยู่ในใจเขาเสียแล้ว
นาฮีโดยังเป็นเหมือนแรงบันดาลใจให้เขาเรียนรู้ที่จะไขว่คว้าความฝันของตัวเอง และเผชิญหน้ากับอุปสรรคอย่างกล้าหาญเช่นเดียวกับเธอ คำว่า ‘ความกดดันก็ถือเป็นประสบการณ์ให้เราพัฒนา’ ผลักดันให้แพคอีจินกล้าเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่พร้อมก็ต้องพร้อมในการรายงานข่าว จากความผิดพลาดครั้งก่อนที่คอมพิวเตอร์ดับจนต้องวางสายตอนรายงานสด สู่วันที่ถึงฝนจะตกจนสคริปต์เปียก เขาก็ผ่านมันมาได้ เหตุการณ์ในครั้งนั้นถือเป็นหนึ่งในประสบการณ์ที่บ่มเพาะให้แพคอีจินกลายเป็นผู้ประกาศข่าวหลักของช่อง UBS ในทุกวันนี้ เพราะเขารู้ดีว่าถึงแม้ชีวิตจะแย่สักแค่ไหน เมื่อได้เห็นหน้าและพูดคุยกับเด็กคนนี้ ความพังในชีวิตก็มลายหายไปได้ชั่วขณะ
ไม่ใช่แค่แพคอีจินที่เติบโตเป็นคนที่ดีขึ้น นาฮีโดเองก็เช่นกัน แพคอีจินเข้ามาแต่งแต้มสีสันในชีวิตของนาฮีโดไม่ให้จืดชืดจนเกินไป และเป็นแหล่งพลังที่คอยชุบชูใจนาฮีโดจนกลายเป็นราชินีแห่งวงการฟันดาบที่คว้าเหรียญทองได้เป็นกอบเป็นกำ
สิ่งสำคัญที่แพคอีจินได้ให้ไว้กับนาฮีโดก็คือ การเรียนรู้ที่จะรักใครอย่างจริงจัง ไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่ตื้นเขิน เรียนรู้ที่จะรักษาระยะห่างในความสัมพันธ์ให้พอดี และเรียนรู้ว่าการเลิกราที่แท้จริงคืออะไร
ระยะห่างของหัวใจระหว่างนาฮีโดและแพคอีจินค่อยๆ ไกลกันออกไปจนกลายเป็นความสัมพันธ์แบบที่คนหนึ่งเอาแต่ขอโทษ ส่วนอีกคนก็ได้แต่ลดความคาดหวังในความสัมพันธ์ลงเรื่อยๆ และวันนั้นก็มาถึง วันที่กำลังใจจากนาฮีโดส่งไปไม่ถึงแพคอีจินแล้ว ไม่มีอีกแล้วการแชร์ความสุขและทุกข์ตามสัญญา รู้ตัวอีกทีก็สัมผัสได้เพียงความห่างเหิน
ถึงแม้ว่าจะยังรักกันมาก แต่ยิ่งฝืนต่างคนก็จะยิ่งเจ็บ การเลิกราจึงเป็นคำตอบที่ดีที่สุดของทั้งคู่ในช่วงเวลานั้น นี่คงเป็น ‘ความเจ็บปวดระหว่างเติบโต’ ที่รุ่นพี่นักข่าวพูดกับแพคอีจิน ไม่ใช่เพียงแค่หน้าที่การงานที่หนักหนาสาหัส แต่ยังหมายรวมถึงเรื่องของความรักที่จะเจ็บปวดเช่นกัน ซึ่งก็เป็นสีสันหนึ่งในชีวิตที่สักครั้งจะต้องพบเจอ
‘เราไม่ควรรักกันในรูปแบบนี้เลย’ จริงๆ แล้วคำนี้ก็ไม่ได้อธิบายการเลิกราของทั้งคู่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ บางทีในความสัมพันธ์ แค่รักมันยังไม่พอ ความเข้าใจกันและกันก็เป็นสิ่งสำคัญ นอกจากนี้ยังมีตัวแปรอื่นๆ ที่ทำให้ความสัมพันธ์ของคนสองคนไปต่อไม่รอด
อย่างใน Twenty-Five Twenty-One แพคอีจินกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นของการเป็นนักข่าว เขาจึงอยากทำหน้าที่นี้อย่างเต็มกำลัง และปกป้องคนที่รักไม่ให้เป็นห่วงด้วยการไม่เล่าเรื่องราวที่ตนเองทุกข์ ส่วนนาฮีโดเองก็อยากจะแชร์ทุกความรู้สึกตามสัญญา ในขณะเดียวกันก็ไม่อยากที่จะต้องผิดหวังจากการรอคอยเหมือนที่เคยผิดหวังในตัวแม่ ซึ่งหากมองเผินๆ ดูเหมือนว่านาฮีโดจะเข้าใจว่าอาชีพนักข่าวจะต้องเสียสละเพราะเป็นคนสาธารณะ แต่ด้วยความเสียใจในวัยเด็กที่กว่าจะรู้ความจริงอีกด้านของแม่ก็ค่อนข้างสายไป และความจริงนั้นก็ไม่ได้แก้ปมในใจของเธอ นาฮีโดจึงไม่อยากให้แพคอีจินเป็นแบบแม่ของตัวเอง เมื่อลองชั่งน้ำหนักและคิดแล้วว่าไม่เห็นภาพอนาคตร่วมกัน การเลิกราจึงเป็นทางออกที่จะหยุดความเจ็บปวดและเปลี่ยนมันเป็นความทรงจำที่ดีต่อกัน ก่อนที่จะถลำลึกจนไม่เหลือสิ่งดีๆ ให้จดจำ
ถึงแม้ช่วงสุดท้ายของความสัมพันธ์จะเป็นสีหม่นๆ ของสายรุ้ง แต่ถ้ามองย้อนกลับไป ตลอดระยะเวลา 4 ปีมันก็เป็นช่วงเวลาที่ดีสุดๆ ในช่วงชีวิตหนึ่ง การได้รักใครอย่างไม่เผื่อใจและถูกคลั่งรักอย่างเต็มรูปแบบคือรักที่บริสุทธิ์มาก ความรักในครั้งนี้แค่เกิดขึ้นผิดเวลาเท่านั้นเอง ซึ่งไม่ว่าปัจจุบันและอนาคตจะเป็นอย่างไร แพคอีจินและนาฮีโดต่างก็เคยเป็นสายรุ้งของกันและกัน และจะเป็นเช่นนั้นตราบที่ทั้งคู่ยังมีชีวิตอยู่
เราไม่ได้ครอบครองอะไรบนโลกนี้ แต่หน้าร้อนนั้นเป็นของเรา
ความสัมพันธ์แบบสายรุ้งไม่ได้เกิดแค่กับแพคอีจิน-นาฮีโดเท่านั้น แต่มิตรภาพระหว่างกลุ่มเพื่อนทั้ง 5 คนยังเป็นดั่งสายรุ้งที่ค่อยๆ เติมเต็มซึ่งกันและกันให้ชีวิตวัยรุ่นของพวกเขามีความหมาย แม้ว่าในตอนนี้จะไม่ได้ติดต่อกันและอาจหลงลืมเหตุการณ์ในอดีตไป แต่หน้าร้อนในอายุ 19 ที่เป็นการไปทะเลครั้งแรกและครั้งเดียวกับกลุ่มเพื่อน คือสิ่งที่นาฮีโดเป็นเจ้าของและได้ครอบครองช่วงเวลาล้ำค่าอย่างแท้จริง
วิกฤตไอเอ็มเอฟและกีฬาฟันดาบเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง นาฮีโดย้ายเข้ามาเรียนที่โรงเรียนมัธยมแทยังเพื่อไล่ล่าความฝันในการเป็นนักกีฬาฟันดาบทีมชาติ จากที่เคยตัวคนเดียวมาตลอด การเข้ามาในโรงเรียนใหม่ทำให้เธอได้พบกับ ‘จีซึงวาน’ หัวหน้าห้องสุดเพอร์เฟกต์ที่ทั้งสวย ใจดี แถมยังฉลาด และ ‘มุนจีอุง’ เจ้าน่ารักห้องเจ็ดที่ใครๆ ก็หลงรัก ด้วยอะไรบางอย่างหรืออาจเป็นความรู้สึกถูกชะตา นาฮีโดกับจีซึงวานก็สนิทกัน และด้วยสถานการณ์บังคับที่มีโกยูริมเป็นตัวแปร ทำให้นาฮีโดสนิทกับมุนจีอุงไปโดยปริยาย
การย้ายโรงเรียนไม่ได้น่าตื่นเต้นเท่าการที่จะได้เจอกับ ‘โกยูริม’ นักกีฬาฟันดาบทีมชาติเจ้าของเหรียญทองที่เป็นเหมือนไอดอลและแรงผลักดันของนาฮีโดมาโดยตลอด แต่ความจริงนั้นต่างจากจินตนาการลิบลับ โกยูริมทั้งเย็นชาและพูดจาดูถูกสารพัด ด้วยการที่ต้องแบกรับความกดดันจากการเป็นตัวแทนประเทศ และความกลัวนาฮีโดที่เคยเป็นคู่แข่งในตอนเด็ก กำลังกัดกินโกยูริมจนต้องแสดงว่าเกลียดนาฮีโด ทั้งๆ ที่เธอก็ไม่ได้ตั้งใจ
ความไม่ชอบหน้ากันของโกยูริมและนาฮีโดค่อยๆ หลอมละลายและก่อตัวขึ้นเป็นสายรุ้งโดยที่ทั้งคู่ไม่รู้ตัว การได้แชทผ่านโปรแกรมนาอูนูรี (Nownuri) เป็นเหมือนสายฝนที่ช่วยชะล้างให้ความโกรธเคืองในใจหายไป และเชื่อมโยงทั้งคู่ไว้ด้วยกัน เพียงแค่รอเวลาที่จะได้เปิดอกคุยกันอย่างเปิดเผย
รุ้งกินน้ำมักเกิดขึ้นหลังจากฝนตก การได้รู้ความจริงว่าโกยูริมคือ อินจอลมี และนาฮีโดคือ ไรเดอร์37 ทำให้ทั้งคู่ไม่อาจหลบเลี่ยงอีกต่อไป การเผชิญหน้าเพื่อเคลียร์ใจจึงเกิดขึ้น และผลลัพธ์ก็ดีเกินคาด ความสัมพันธ์ของนาฮีโดและโกยูริมเปลี่ยนจากคู่กัดที่เคยหยุมหัวกันในวันนั้น สู่เพื่อนรักที่คอยซัพพอร์ตกันเสมอ เพราะทั้งคู่เข้าใจดีว่าเส้นทางการฟันดาบไม่เคยง่ายเลย กว่าจะมาถึงรอบชิงชนะเลิศต้องผ่านการฝึกฝนที่หนักหนา ความทรงจำนับไม่ถ้วนที่ทั้งคู่สร้างร่วมกันมาทำให้ซีนถอดหน้ากากที่ต่างฝ่ายต่างร้องไห้ในการแข่งขันที่มาดริด ปี 2001 เป็นซีนที่เราประทับมากใจที่สุด และเรียนรู้ว่ามิตรภาพเป็นสิ่งที่ตัดไม่ขาดจริงๆ ถึงแม้ว่าในสนาม ต่างคนต่างเป็นนักกีฬาที่ต้องทำผลงานออกมาให้ดีที่สุด แต่เมื่อการแข่งขันจบลงแล้ว ทั้งคู่ก็คือเพื่อนแท้ ที่ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะก็ยังคงยินดีให้กันและกันเสมอ
นาฮีโดเป็นตัวกลางที่เชื่อมทุกคนให้มารู้จักกัน จากตอนแรกที่มีแค่จีซึงวานกับมุนจีอุงในรังลับ การเปิดประตูให้นาฮีโด โกยูริม รวมไปถึงแพคอีจิน ที่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเด็กๆ ค่อยๆ ขีดเขียนเรื่องราวให้ชีวิตของพวกเขามีเรื่องที่น่าจดจำมากยิ่งขึ้นผ่านสิ่งต่างๆ ที่ทุกคนต้องเคยทำในวัยรุ่น เช่น เทศกาลดนตรี เฝ้ารอหนังสือการ์ตูนเล่มใหม่ มีแฟนคนแรก สอบใบขับขี่ผ่าน รวมถึงการไปเที่ยวกับกลุ่มเพื่อนสักครั้งในชีวิต ซึ่งมันก็สะท้อนได้ว่าทั้ง 5 คนต่างช่วยกันแต่งแต้มสีสันให้เกิดเป็นความสัมพันธ์แบบสายรุ้งได้อย่างสมบูรณ์แบบ จากตอนแรกที่ล็อกเกอร์ในรังลับยังไม่มีการวาดสายรุ้ง แต่หลังจากหน้าร้อนครั้งนั้น สายรุ้งจึงเกิดขึ้นอย่างงดงาม และถูกเก็บไว้ในรูปของความทรงจำ ที่ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไรก็ยังคงชัดเจน
รุ้งกินน้ำ กับความทรงจำที่ไม่ได้หยุคแค่วัย 25 และ 21
เวลาเห็นรุ้งกินน้ำ เรามักจะรู้สึกตื่นเต้นเหมือนเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกใบนี้ แต่สิ่งที่เราไม่เคยเห็นเลยก็คือปลายทางของสายรุ้ง ดังเช่นความสัมพันธ์และมิตรภาพของเพื่อนกลุ่มนี้ที่มันจะอยู่ในใจของทุกคนไปตลอด ถึงแม้ว่าแต่ละคนจะมีเส้นทางชีวิตของตัวเองก็ไม่ได้แปลว่ามิตรภาพจะจบลง
จีซึงวานที่ได้เผชิญโลกแห่งสีสัน สอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ฝัน และทำงานเป็นโปรดิวเซอร์รายการวาไรตี้ มุนจีอุงที่เอาดีทางด้านแฟชั่นจนเปิดบริษัทเสื้อผ้าของตัวเอง นาฮีโดที่ยืนหยัดในเส้นทางนักกีฬาจนเกษียณ โกยูริมที่ตัดสินใจเปลี่ยนสัญชาติเพื่อครอบครัว และแพคอีจิน ผู้ประกาศข่าวดาวรุ่งอนาคตไกล ต่างคนต่างมีหน้าที่ที่ต้องทำ และเป็นธรรมดาของการเติบโตที่จะได้เจอกันทีก็ตามงานแต่งงานหรือไม่ก็งานศพ แต่มิตรภาพจะยังอยู่ตลอด ไม่ว่าจะอีกกี่สิบปี ความรู้สึกก็ยังคงเหมือนเดิม เหมือนเราเพิ่งจะผ่านช่วงชีวิตวัยเรียนกับเพื่อนมาหมาดๆ
ซึ่งมันก็นำไปสู่การที่นาฮีโดเลือกที่จะทำเก้าอี้ แน่นอนว่าส่วนหนึ่งมันเป็นความทรงจำเกี่ยวกับพ่อ เป็นของที่พ่อทำให้ แต่หากมองให้ลึกลงไป ตอนที่ครอบครัวของนาฮีโดนั่งบนเก้าอี้ของพ่อ มันเป็นช่วงที่ทำให้ครอบครัวนี้ได้ใช้เวลาที่ดีร่วมกัน ดังนั้นแล้วจึงไม่แปลกที่สตูดิโอของนาฮีโดจะมีเก้าอี้สีรุ้ง 5 ตัวที่แทนเพื่อนๆ รวมถึงตัวเองติดอยู่บนกำแพง เพราะช่วงเวลาที่ทั้ง 5 คนได้ใช้ร่วมกันนั้นล้ำค่าเหลือเกิน และเก้าอี้สีรุ้งนี้จะเป็นสิ่งเตือนใจให้นึกถึงวันเก่าๆ เพื่อที่ฮีโดจะมีแรงใจใช้ชีวิตต่อไปได้
ธรรมชาติของรุ้งกินน้ำมักจะเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ เช่นเดียวกับเรื่องราวความสัมพันธ์ของตัวละครทั้งหมดใน Twenty-Five Twenty-One ที่ช่วงเวลาแห่งความสุขมันคงอยู่ไม่นาน แต่ถ้าช่วงเวลาเหล่านี้ถูกแปรเปลี่ยนเป็นความทรงจำแล้วล่ะก็ มันจะกลายเป็นสิ่งสวยงามที่คงอยู่ตลอดกาล และถึงแม้เราในตอนแก่จะจำบางเรื่องราวดีๆ ที่เกิดขึ้นตอนวัยรุ่นไม่ได้ แต่มันก็ไม่ได้แปลว่า เรื่องราวเหล่านั้นไม่เคยเกิดขึ้นจริง
เรื่องโดย อภิชญา จิราพงษ์