ซีรีส์ Mouse กับบทสรุปที่ตั้งคำถามว่า ‘คนที่มียีนไซโคพาธ = ฆาตกร’ จริงหรือ?
จบ 20 อีพีไปแล้วกับ ซีรีส์ Mouse ที่ต้องสารภาพเลยว่าในช่วง ¼ หลังของซีรีส์ต้องยอมปล่อยตัวตามยถากรรมให้คนเขียนบทลากไปไหนก็แล้วแต่ต้องการ ซึ่งในช่วงขมวดปมอีพี 20 นี้เองที่ได้กลับมาคิด วิเคราะห์ แยกแยะ จนได้บทสรุปของตัวเองขึ้นมาว่าสุดท้ายแล้วซีรีส์กำพาราแห่งปีเรื่องนี้ให้อะไรเรากลับมาบ้าง
จุดเริ่มต้น = จุดสิ้นสุด
หลังจากทุกข์ทรมานกับความรู้สึกผิด จองบารึมก็ได้วางแผนเพื่อจัดการทุกสิ่งอย่างให้จบบริบูรณ์เป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งอีซึงกิถ่ายทอดอารมณ์ที่อัดแน่นอยู่ในจิตใจตัวละครได้ดีมาก ความรู้สึกผสมปนเปหลากหลายอยู่ในสายตานั้น ซึ่งตอบโจทย์การกระทำทุกอย่างตั้งแต่ยังเป็นเด็กในชื่อ ‘แจฮุน’ ความเชื่อในพระเจ้าที่เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวและทริกเกอร์ผลักดัน การถูกแวดล้อมด้วยเหตุการณ์ที่ยกระดับยีนไซโคพาธในตัวให้ก้าวไปสู่ระดับที่ไม่มีใครหยุดยั้งเขาไว้ได้
การร่วมงานกันครั้งสุดท้ายของพี่น้องโกมูจีและจองบารึม
จองบารึมพูดถึงรูปที่เป็นเบาะแสให้โกมูจีตามหาตัวน้าของเขาจนเจอ นำไปสู่การคลี่คลายเรื่องราวทั้งหมดผ่านรายการสด ‘เชอร์ล็อกฮง’ ของชเวฮงจู คำถามก็คือทำไมโกมูจีเชื่อสิ่งที่บารึมพูด ทั้งที่ตอนนั้นเขาอยู่หลังกรงขังในฐานะฆาตกรต่อเนื่อง อาจเป็นไปได้ว่าสายใยของพี่น้องที่เคยสัญญาไว้ และการที่จองบารึมเข้ามอบตัวอย่างที่บอกได้กลายเป็นสิ่งที่ตกค้างในใจโกมูจีบางอย่าง จนเขายอมไปเยี่ยมจองบารึมที่คุก ทั้งยังทำป้าย “ขอให้ไปสู่สุคติ” เพื่อบอกลาจองบารึมเป็นครั้งสุดท้าย
ตั้งคำถามถึงความรักของแม่
ในซีรีส์เรื่องนี้มีตัวละครที่เป็นแม่อยู่ไม่น้อย คุณแม่ซองจีอึนของจองบารึมที่สลับตัวลูกชายและไม่ได้กล้าหาญพอจะยอมรับความจริง, คุณแม่ของซองโยฮันที่เสียชีวิตไปต่อหน้าต่อตาจองบารึม, คุณแม่ของชเวฮงจูที่แทบเสียสติเมื่อลูกๆ ถูกฆาตกรต่อเนื่องจับตัวไป, คุณแม่ของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายที่สุดท้ายยอมปล่อยวางทุกอย่าง, ชเวฮงจูที่ตัดสินใจเก็บลูกของซองโยฮันไว้, คุณแม่ของนาชีกุก, คุณแม่ของฮันกุก, น้าของจองบารึมที่ยอมรับสารภาพผิดเมื่อลูกชายเธอบินออกนอกประเทศไปแล้ว
อย่างหนึ่งที่ตรงกันก็คือความรักที่มีต่อลูกนั้นยิ่งใหญ่ และในบางคราวก็เป็นคล้ายดาบสองคมที่ย้อนกลับไปทำให้เจ็บปวด
การมีชีวิตต่อไปของผู้ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
โกมูจีเมามายไปหาคุณแม่ของซงซูโฮในค่ำคืนหนึ่ง นำมาซึ่งซีนที่บอกเล่าถึงความเข้มแข็งของผู้ที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง จากเหตุการณ์ฆาตกรรม
“คุณแม่ครับ ผมขอถามอะไรหน่อย คุณแม่ยกโทษให้พ่อลูกไซโคพาธนั่น คุณแม่ทำได้ยังไงครับ คุณแม่เสียสติไปแล้วเหรอ”
“ที่ฉันพยายามให้อภัยพวกเขา ไม่ใช่เพื่อพวกเขาหรอก ฉันทำเพื่อให้ตัวฉันเองอยู่ต่อไปได้ ไม่อย่างนั้นมันรู้สึกเหมือนจะตาย ตอนได้ฟังสิ่งที่คุณพ่อโกพูด ฉันรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดและเหนื่อยล้าตลอดหลายปีของเขา รวมถึงความเจ็บปวดเหนื่อยล้าของฉันด้วย นั่นคือตอนที่ฉันปล่อยวางทุกอย่างและทำใจให้อภัย…
“..คนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังอย่างเราต้องหาทางใช้ชีวิตต่อไปให้ได้ เราต้องมีชีวิตอยู่ ฉันขอให้คุณสายสืบหายเจ็บปวดลงสักนิดก็ยังดี”
ซีรีส์เรื่องนี้ส่งข้อความนี้โดยตรงไปถึงยังครอบครัวของเหยื่อผู้เสียชีวิตจากคดีฆาตกรรมที่ยังคงใช้ชีวิตอย่างเจ็บปวด ด้วยความหวังว่าจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดเหนื่อยล้าเหล่านั้นลงได้แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี
คนที่มียีนไซโคพาธ = ฆาตกร?
ปมใหญ่ที่สุดที่ซีรีส์ถ่ายทอดออกมา คือคำถามที่ว่ายีนไซโคพาธและความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยีจะทำให้ฆาตกรต่อเนื่องหมดไปจากโลกนี้ได้จริงหรือ? และสุดท้ายแล้วมันแน่นอน 100% หรือไม่ที่คนมียีนไซโคพาธจะต้องเป็นฆาตกร
ถ้าหากเทียบจากตัวจองบารึมที่เฉลยปมในตอนท้ายว่าแม้ตัวเขาเองจะมีการกระทำรุนแรง แต่ยังไม่เคยมีความคิดจะฆ่าใคร ถ้ายังจำได้ ฉากแรกๆ ที่แจฮุนข่วนแขนตัวเองจนเป็นแผลเพราะต้องการระงับอารมณ์ในจิตใจ ก็ยังแสดงให้เห็นว่าตัวเขาเองก็รับรู้ถึงความผิดปกติและพยายามเก็บความรู้สึกด้านมืดนั้นเอาไว้ จนในที่สุดเขาถูกแวดล้อมด้วยสถานการณ์ครอบครัวเสียชีวิตยกบ้าน ที่เป็นการปลุกยีนไซโคพาธในตัวขึ้นมา เช่นเดียวกันกับซองโยฮันที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามียีนไซโคพาธ แต่ยีนของเขากลับเป็น 1% ที่กลายเป็นอัจฉริยะ
เพราะฉะนั้นอาจไม่ใช่ 100% เสมอไปที่ยีนไซโคพาธจะกลายร่างเป็นฆาตกรเลือดเย็น และการตีตราใครสักคนที่มียีนไซโคพาธจึงเป็นคำถามที่น่าสนใจว่า เมื่อวันที่เทคโนโลยีพันธุกรรมเดินทางไปถึงจุดนั้น มนุษย์เราจะเลือกตัดสินใจอย่างไร