Our Beloved Summer EP.5-6 เราต่างต้องแยกย้ายกันไปเติบโต
บทสรุปของ Our Beloved Summer EP.5-6 คือการที่คนสองคนซึ่งไม่ได้เจอกันมา 5 ปี นับจากจุดจบที่เลิกกันโดยไม่มีเหตุผลสำคัญรองรับ และการได้กลับมาพบกันอีกครั้งด้วยหัวใจที่สั่นไหวเหมือนเดิม
ในวัยหนุ่มสาวที่มีรักครั้งแรก เราต่างไม่แน่ใจหรอกว่านี่คือความรักแท้ๆ ไหม หรือแค่วูบไหวไปตามความรู้สึก เราบอกไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะกับแค่อนาคตของตัวเองว่าจะเป็นไปอย่างไร เรายังไม่รู้เลย
มันถูกต้องที่ว่าเรามีเป้าหมายในชีวิตได้ จะตั้งความหวังไว้สวยหรู หรือแค่พอจะทำให้เกิดขึ้นได้จริง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างทางในชีวิตจริงของคนเรามากกว่าที่ไม่ง่ายขนาดนั้น บางทีเส้นทางก็เต็มไปด้วยก้อนกรวดขรุขระ บางทีก็แทบไม่มีเส้นทางให้เดิน ต้องบุกป่าฝ่าดงไปลำพัง หรือสำหรับบางคนที่โชคดี แต้มบุญสูง ก็ไม่ต้องลำบากนักในการเดินไปบนเส้นทางนั้นๆ
ซึ่งทั้งหลายทั้งปวง ก็ไม่ใช่ว่าปลายทางที่รออยู่คือความสำเร็จ
ผ่อนความหนักหนากับชีวิตวัยเยาว์ลงบ้าง
การที่ Our Beloved Summer ปูเรื่องราวมาถึงอีพี 6 หรือเกือบครึ่งทางแบบนี้ อย่างหนึ่งที่เข้าใจได้เลยก็คือ ซีรีส์เรื่องนี้เป็น Soft Power ที่ทรงพลังอีกครั้ง ด้วยการซุกซ่อนแมสเสจสำคัญอยู่ในซีรีส์โรแมนติกคอเมดี้ ภาพสวย แต่งตัวเท่ เพลงเพราะ นักแสดงเคมีเข้าขาสุดๆ
ซึ่งความหมายแท้จริงของซีรีส์เรื่องนี้คือการ ‘ผ่อนความหนักหนากับชีวิตวัยเยาว์ลงบ้าง’ เพราะเท่าที่เข้าใจ สังคมเกาหลีมีวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมายาวนานในแง่ที่ว่า ความสำเร็จคือสิ่งจำเป็นของชีวิต ไล่มาตั้งแต่เกิด ที่ต้องอยู่ในครอบครัวที่พร้อมหน้าทั้งพ่อและแม่ เรียนหนักตั้งแต่เด็ก ใครที่ฉายแววอัจฉริยะก็ยิ่งได้รับการคาดหวังว่าอีกหน่อยจะเป็นหน้าตาให้กับครอบครัว การเรียนก็อย่างที่เห็นว่าเข้มข้น หนักหนา และการสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้คือนิพพานของนักเรียนไฮสคูล
เรียนจบแล้วก็ยังมีการแข่งขันเพื่อให้ได้งานในบริษัทใหญ่ เพราะการได้เป็นพนักงานประจำที่มีบัตรพนักงานคล้องคอ ก็เหมือนเหรียญรางวัลที่แสดงว่าคนคนนั้นได้รับการยอมรับว่าเดินทางมาถึงเส้นชัยอีกครั้ง
จบจากเรื่องหน้าที่การงาน ชีวิตส่วนตัวก็ยังเป็นเป้าหมายที่ต้องเดินทางไปให้ถึง การได้แต่งงานกับคนที่อยู่ในสถานะที่ดี คือมาจากครอบครัวดี การศึกษาดี ฐานะดี หน้าที่การงานมั่นคง ก็เป็นสิ่งที่ฝ่ายผู้หญิงต้องท่องเอาไว้ในใจ ขณะเดียวกันถ้าแต่งงานมีครอบครัวแล้ว การมีลูกก็คือการที่ฝ่ายหญิงอาจจะต้องทิ้งอนาคตของตัวเองเพื่อมาดูแลครอบครัวเต็มเวลา ยังไม่นับปัญหาสารพันกับญาติผู้ใหญ่ที่ยึดถือธรรมเนียมปฏิบัติแบบหัวชนฝา และสังคมซุบซิบนินทาที่เป็นอยู่
Our Beloved Summer จึงหยิบเอาตัวละครขั้วตรงข้ามมาเจอกัน และถ่ายทอดช่วงเวลาตั้งแต่วัยรุ่นไปจนถึงวัยกลางคนที่เคยมีเป้าหมายในชีวิตแตกต่างให้ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง และต่างฝ่ายต่างได้เรียนรู้ว่าชีวิตคนเราไม่มีถูกผิด
ชเวอุงที่ไม่เคยมีเป้าหมายเอาไว้พุ่งชน ไม่ตั้งใจเรียนหนังสือ สนใจแต่การวาดรูป ก็ไม่ใช่เรื่องผิด
กุกยอนซูที่เคี่ยวกรำตัวเองตั้งแต่เด็ก ไม่มีเวลาเล่น การเรียนคือสิ่งเดียวที่ยึดถือ เพื่อพาตัวเองให้หลุดพ้นจากความยากจน ก็ไม่ใช่เรื่องผิด
และเพราะต้นทุนชีวิตคนเราไม่เท่ากัน เป้าหมายเพียงการปลดหนี้และมีชีวิตที่ไม่ต้องปากกัดตีนถีบมากก็คงพอใจที่สุดแล้ว หรือกับการที่วาดฝันจะมีชีวิตไปวันๆ ได้วาดรูป ได้กินอาหารอร่อยกับครอบครัว และอยู่กับผู้หญิงที่รัก ก็เป็นเป้าหมายที่ทุกคนต่างต้องการ ไม่ใช่หรือ?
“มันควรเป็นแบบนี้จริงๆ เหรอ พวกเราน่ะ”
ปลายอีพี 6 คำพูดของชเวอุงประทับใจมาก ในฐานะที่เคยเป็นคนรักกัน ทำไมเราจะถามไถ่กันไม่ได้ว่าเธอเป็นยังไงบ้าง ลำบากมากไหม เหนื่อยบ้างหรือเปล่า ซึ่งจริงๆ คำพูดเหล่านี้เราสามารถนำไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน
และการเปิดเผยปมอดีตในอีพีนี้ก็เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า ‘ความรัก’ ยังคงอยู่ มันไม่เคยหนีไปไหน เพียงแต่เป็นเราเองที่เลือกเดินออกไปจากมัน ด้วยความอวดดีและอคติที่คนทุกคนอาจมีได้
และนี่เป็นปลายเปิดที่น่าสนใจทีเดียวว่า Our Beloved Summer จะเล่าถึงเรื่องราวความรักฤดูร้อนออกมาต่อไปในรูปแบบไหน จะระเบิดจากโรแมนติกคอเมดี้เป็นดราม่าน้ำตาท่วมหรือไม่ ประเด็นนี้ก็เป็นความท้าทายซีรีส์เกาหลีที่น่าสนใจทีเดียว
สุดท้ายนี้ หวังว่าเราคงไม่ได้สปอยล์อะไรไป เพราะใจจริงอยากให้ใครที่ยังไม่ได้ดูมาดูซีรีส์เรื่องนี้กัน เพราะในความวุ่นวาย ปัญหาสารพัดที่เกิดขึ้นในทุกๆ วัน การได้นอนดูซีรีส์เรื่องนี้ก็เป็นเหมือนเพื่อนคนหนึ่งมาตบบ่า บอกเราว่าพักบ้างก็ได้ นอนอ่านการ์ตูนไปวันๆ ก็ได้ อย่าตึงกับชีวิตให้มันมากนัก วัยหนุ่มสาวมันสั้น อย่าให้ใครมาพรากเราไปจากมัน อย่างน้อยๆ ใช้ชีวิตให้ยิ้มได้ หัวเราะได้ทุกวันก็พอแล้ว