Our Beloved Summer EP.15-16 ฤดูร้อนที่เรารัก จากลา และการกลับมาพบกันใหม่
Our Beloved Summer EP.15-16 เดินทางมาถึงตอนจบ แม้จะเป็นซีรีส์ Coming of Age ที่ถูกโปรยทับว่าเป็นแนวโรแมนติกคอเมดี้ แต่ถ้าถอดเอาเปลือกต่างๆ ที่ห่อหุ้มไว้ออกไป แมสเสจสำคัญที่ซีรีส์เรื่องนี้ถ่ายทอดแด่หนุ่มสาวทั่วโลกก็คือ การรักษาคนรอบตัวเอาไว้ และมีอิสระพอที่จะได้ทำในสิ่งที่เราต้องการ
“รักษาคนรอบตัวไว้ และทำสิ่งที่อยากทำ ใช้ชีวิตให้สนุกสนาน”
คุณย่าบอกกับยอนซูแบบนั้น ในวันที่มองเห็นหลานสาวยังคงแบกรับทุกสิ่งอย่างไว้บนบ่าเพียงลำพัง และแม้ในวันที่ไม่ต้องแบกรับปัญหาเหล่านั้นอีกแล้ว เธอก็ยังคงรับผิดชอบต่อทุกสิ่งอย่างบนบ่าเหมือนเดิม
สำหรับยอนซู ในท้ายที่สุด จากการวิ่งมาราธอนชีวิตเพื่อปลดภาระเรื่องเงิน ความเป็นอยู่ หน้าที่การงาน เธอกลับพบว่าระหว่างที่วิ่งดิ้นรนมาตลอดเวลานั้น ที่ทำไปทั้งหมดก็เพราะมีคนรอบตัวที่เธอรักและไม่อยากบอกลาพวกเขา ซึ่งสิ่งที่เธออยากทำจริงๆ ก็คือการได้อยู่กับพวกเขานั่นล่ะ
**บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาของซีรีส์**
ฤดูร้อนที่เรารัก จากลา และการกลับมาพบกันใหม่
เมืองไทยอาจจะมีฤดูร้อน ฤดูฝน ฤดูหนาว แต่สำหรับหลายประเทศ ฤดูกาลแบ่งเป็น ใบไม้ผลิ ร้อน ใบไม้ร่วง และหนาว ซึ่งมีคนเคยตีความไว้ว่า ในชีวิตเรานั้น ถ้าแบ่งช่วงอายุออกตามฤดูกาลก็เริ่มต้นได้จาก
– การผลิบาน การเริ่มต้นชีวิตใหม่
– วัยรุ่นที่ร้อนแรง อบอุ่น สดใส มีกำลังออกไปทำสิ่งต่างๆ อย่างที่ต้องการ
– เมื่อเติบโตมาจนถึงวัยผู้ใหญ่ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง ที่เราได้ผ่านร้อนหนาวของชีวิต มองเห็นความงดงาม ความฝัน ความหวัง เรียนรู้ และเรียนรัก จนต้นไม้ของเราเริ่มเปลี่ยนสี ผลัดใบ
– ส่วนในช่วงบั้นปลายของชีวิตก็เป็นเหมือนกับฤดูหนาว ที่มองเป็นความงดงามก็ได้ หรือขณะเดียวกันก็เยือกเย็นเหลือเกิน
วัฏจักรธรรมชาติเคลื่อนตัวเปลี่ยนผ่านไปตามฤดูกาล ชีวิตผู้คนก็หมุนวนไปตามนั้นเช่นกัน
สำหรับ Our Beloved Summer เลือกบอกเล่าเหตุการณ์ผ่านฤดูกาลเช่นกัน ในวันที่อุงกับยอนซูถ่ายทำสารคดีด้วยกันในวัย 19 คือฤดูร้อนที่สดใส การกลับมาพบกันใหม่ก็ยังคงเป็นช่วงฤดูร้อน จนได้กลับมารักและเปลี่ยนผ่านความสัมพันธ์ในฤดูใบไม้ร่วง บอกลากันอีกครั้งในฤดูหนาว และสุดท้ายได้ร่วมทุกข์สุขในทุกฤดูกาล
ฤดูร้อนที่มีอยู่ในชื่อ Our Beloved Summer และยังเป็นชื่อตอนสุดท้ายใน EP.16 ก็เป็นการบอกชัดเจนแล้วว่าความรักของเราเริ่มต้นในฤดูร้อน ในวัยหนุ่มสาว ในชีวิตที่ร่าเริงที่สุด ทั้งกับความรักและความฝัน
คุณยังจดจำฤดูร้อนในวัย 19 ได้ไหม?
Our Beloved Summer จะพาเราย้อนอดีตกลับไปในวันเวลาเหล่านั้น และรื้อฟื้นภาพความทรงจำที่ทั้งสวยงามและแสนเศร้า เพื่อให้เราได้รู้ว่าระหว่างทางที่ผ่านมา เรื่องราวแบบนั้นนั่นเองที่ประกอบร่างให้เราเป็นเราอย่างในทุกวันนี้
แด่หนุ่มสาวบนโลกที่หมุนไว ทุกเวลานาทีมีค่า
และการเป็นคนไม่โปรดักทีฟอาจดูเหมือนไม่มีค่า
แด่สังคมที่ย่อยเล็กจนเหมือนเราอยู่ตัวคนเดียว
ครอบครัวที่แตกร้าวด้วยปัญหาต่างๆ นานา
แด่ทุกบาดแผลทางใจ ที่เราต่างต้องรับมือแตกต่างกันไป
และไม่ใช่ว่าวิธีไหนคือทางเลือกที่ถูกหรือผิด
แด่ฤดูร้อนนั้น… และความทรงจำที่ทำให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้
ความรักที่ขาดหายของจีอุง
ความสัมพันธ์ระหว่างแม่และจีอุง เป็นภาพสะท้อนที่เฉียบแหลมสำหรับบท Our Beloved Summer ระยะห่างที่แม่เคยมีให้เขามาตลอดในวัยเด็ก พอถึงวันหนึ่งก็เป็นจีอุงเองที่เลือกขีดเส้นนั้นไว้ เพื่อรักษาระยะห่างระหว่างเขากับผู้หญิง ‘คนนั้น’
“ชิ้นส่วนหนึ่งที่ผมไม่เคยมี ชิ้นส่วนนั้นที่ทุกคนมีเป็นปกติ ทำไมถึงมีผมคนเดียวที่ไม่มี ผมคือชิ้นส่วนที่ไม่จำเป็นของคนคนนั้น”
ความเจ็บปวดที่เด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่งไม่อาจเข้าใจได้เลย คือความห่างเหินที่แม่มีให้กับเขา ความรักที่แทบไม่เคยได้สัมผัส รวมถึงคำพูดแทงใจจนกลายเป็นบาดแผลว่า “ถ้าไม่มีแก ฉันคงไม่อยู่แบบนี้หรอก ถ้าไม่มีแก ฉันก็คงไม่ใช้ชีวิตน่าสมเพชแบบนี้” ได้กลายเป็นความทรงจำวัยเด็กของจีอุง ทำให้เขาเลือกจะเป็นคนที่ไม่เปิดเผยความรู้สึกตัวเองออกมา ทำงานอย่างบ้าคลั่ง เพราะนั่นอาจเป็นสิ่งเดียวที่ไม่เคยทำร้าย และเขายังเป็นชิ้นส่วนสำคัญในหน้าที่ของงานนั้น
ใน EP.15 Our Beloved Summer เลือกเปิดด้วยความทรงจำวัยเด็กของจีอุง ทำให้เราเห็นว่ามันกลายเป็นบาดแผลสำคัญที่ส่งผลไปจนโต และถ้าไม่ได้รับการแก้ไขอย่างที่เกิดขึ้นใน EP.16 จีอุงก็อาจจะกลายเป็นตัวละครที่เจ็บปวดที่สุดไปตลอดกาล
สุดท้ายเมื่อเลือกที่จะเริ่มต้นใหม่กับความสัมพันธ์ระหว่างเขาและผู้หญิงคนนั้น จีอุงก็บอกชัดเจนอยู่แล้วว่าเขาจะค่อยๆ พยายาม แต่การที่เราได้ยินเขาเรียก ‘แม่’ แทนประโยคที่ปล่อยว่างในการเรียกถึงผู้หญิงคนนั้นมาตลอดทั้งเรื่อง ก็เป็นจุดสังเกตเล็กๆ ได้ว่าอย่างน้อยๆ เขาก็เริ่มยอมรับในตัวผู้หญิงคนนี้แล้ว และแม้ความทรงจำในความสัมพันธ์ระหว่างเขากับแม่จะบางเบา แต่ก็มีความทรงจำล้ำค่าที่เขาเล่าถึงแล้วยิ้มได้ทั้งหน้าทั้งตา ก็คือช่วงเวลาเดือนละครั้งที่แม่จูงมือเขาไปตลาด กินต๊อกบกกี แค่ความทรงจำเท่านี้เองที่เป็นแสงสว่างและยังคงอยู่ในใจของจีอุง มันอาจจะเป็นความรักที่เขาสัมผัสได้ ทั้งยังมีค่าพอที่ทำให้เขากลับมาเริ่มต้นใหม่ในความสัมพันธ์ที่แหว่งเว้านี้ และเติมมันให้เต็ม
ซีนที่แชรันสารภาพความในใจตอนท้าย EP.16 ก็ต้องเรียกว่าเป็นซีนล้ำค่าซีนหนึ่งของ Our Beloved Summer ด้วยความที่จีอุงเป็นคนไม่เปิดเผยความรู้สึกตัวเองมาโดยตลอด ทำเป็นไม่แยแส แล้วเลือกเฉยๆ เป็นกลางกับทุกเรื่องราว คล้ายอาชีพคนหลังกล้องที่เขาบอกอยู่ตลอดว่าเป็นคนสังเกตการณ์
เพราะฉะนั้น ความวูบไหวของดวงตาและมุมปากที่ยิ้มนิดเดียวก็ละเอียดพอที่จะบอกความหมายของฉากนั้น แชรันที่มองออกไปนอกหน้าต่างรถยนต์อาจจะทันรู้ได้ว่าคำตอบของคำสารภาพเป็นอย่างไร แต่เหล่าคนดูที่จับจ้องไม่พลาดก็ได้แต่ขอบคุณที่จีอุง เริ่มมองเห็นคนรอบตัวที่คอยใส่ใจเขามาตลอดเสียที
มันคงเหมือนกับชีวิตที่ปลดล็อกเรื่องราวสำคัญในใจได้สำเร็จ ก็มีเวลามองรอบๆ ตัว และมองเห็นดอกไม้ที่เบ่งบานในทุกฤดูกาล
ความกล้าหาญของ NJ
ในช่วงวัยรุ่นของคนส่วนใหญ่คือการได้สนุกสนานกับเพื่อนๆ ได้ทำอะไรที่อยากทำ ไม่ต้องห่วงกังวลเรื่องอื่นๆ แต่กับ NJ ไม่ใช่แบบนั้น ระหว่างเวลา 10 ปีในช่วงวัยรุ่น เธอฝึกซ้อม ทำงาน เก็บตัว รักษาภาพลักษณ์ ต้องปรับให้ตัวเองเป็นคนทำงานที่ทุ่มเททั้งหมดเพื่อการเป็นคนของคนอื่น
การเป็นคนดังคือพรีวิลเลจที่เราต้องแลกด้วยอะไรหลายอย่าง สำหรับ NJ คือชีวิตวัยรุ่นทั้งหมดของเธอ นั่นทำให้เรามองเห็นความเงียบเหงาและโดดเดี่ยวในตัวละครนี้ ที่แม้จะมีทุกสิ่งอย่างเท่าที่คนคนหนึ่งต้องการ รถ บ้าน เงินทอง ชื่อเสียง ข้าวของ แต่สิ่งที่เธอขาดหายที่สุดคือเพื่อนและคนที่โอบกอดเธอเอาไว้อย่างเข้าใจในความโดดเดี่ยวนั้น
ภาพวาดของชเวอุงที่สร้างมาจากความโดดเดี่ยวอย่างถึงที่สุด จึงเป็นเหมือนเพื่อนที่ทำให้เธอรู้ว่ายังมีคนอีกมากมายที่แหว่งเว้าไม่ต่างกัน และไม่แน่ว่ามันอาจเป็นจุดเล็กๆ ที่ทำให้เธอเริ่มคิดที่จะเป็นอิสระ
มันคงใช้ความกล้าหาญมากทีเดียวที่ NJ เลือกจะพูดความจริงจากหัวใจทั้งหมดผ่านสารคดีครบรอบการทำงาน 10 ปีในวงการของเธอ ยอมรับแล้วทั้งก้อนหินและดอกไม้ ขอเพียงได้เป็นตัวของตัวเองดูบ้าง
ทุกครั้งที่ NJ ปรากฏตัวใน Our Beloved Summer คือความสดใสในระดับ 10 กับรอยยิ้มที่มีอยู่แทบจะตลอดเวลา คล้ายกับว่าเธอถูกประกอบร่างมาแบบนั้น เป็นคนที่สร้างความสุขให้กับคนอื่น แต่กับตัวเธอเองล่ะ?
ยอนซู กับการต่อสู้ปัญหาตรงหน้า
“ยิ่งเราพยายามไม่สนใจอดีตเท่าไหร่ เรายิ่งฝังมันแน่นเท่านั้น ยิ่งพยายามหลุดพ้นจากมันเท่าไหร่ ก็ยิ่งขังเราเอาไว้ไม่ให้ไปไหนเลย อดีตมันเป็นแบบนั้นแหละ””
ยอนซูพูดเอาไว้ในช่วงต้น EP.14 กับชีวิตของตัวเธอเองที่พยายามไม่สนใจปัญหาสารพัดที่พุ่งเข้ามาหา แล้วสนใจแค่กับเรื่องตรงหน้าที่ต้องเรียนให้เก่ง ทำงานหาเงินให้ได้มากๆ ทำอย่างไรถึงจะใช้หนี้สินของที่บ้านให้หมด เด็กผู้หญิงคนหนึ่งในเวลานั้นที่แบกภาระทั้งหมดไว้บนบ่าคงไม่รู้ได้เลยว่าจะทำอย่างไรให้ดีกว่านี้ได้ เพราะถ้าไม่นับย่าที่เป็นครอบครัวเพียงคนเดียว เธอก็คือคนที่กำพร้าทั้งพ่อแม่ และเติบโตมาอย่างยากลำบากเหลือเกิน
จริงๆ แล้วแม้จะเห็นว่าเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวแค่ไหน แต่เราก็ได้เห็นความอ่อนแอทั้งหมดของยอนซูที่เป็นธรรมดาและธรรมชาติมากๆ นั่นทำให้คนที่จะมองเห็นด้านอ่อนโยนของยอนซูก็คงมีแค่ย่า อุง และซลอีเท่านั้น
การเลือกไม่สนใจ ไม่ธุระ กลายเป็นเกราะปกป้องเธอจากความรู้สึกอื่นๆ ภาระหน้าที่หนักหนาในแต่ละวันก็กลายเป็นอีกเกราะปกป้องให้เธอไม่มีเวลาว่างพอจะคิดถึงตัวเองหรือคิดถึงใครได้ทั้งนั้น ฉากที่ยอนซูเปิดน้ำให้ไหลกลบเสียงร้องไห้ เป็นความสั่นสะเทือนที่ตัวละครนี้ถ่ายทอดออกมา
เพราะฉะนั้นเราไม่อาจบอกได้เลยว่าคนที่ดูภายนอกแข็งแกร่งจะไม่เคยเศร้า แล้วก็ใช่ว่าคนที่ดูอ่อนโยนก็อาจเข้มแข็งได้อย่างไม่น่าเชื่อในเวลาที่ทั้งโลกถล่มทลาย
ความตาย การจากลา คือสิ่งที่ยอนซูรู้ว่าสักวันมันจะเกิดขึ้น และเมื่อวันนั้นเดินทางมาถึง เธอยังคงไม่รู้หรอกว่าจะรับมือกับมันอย่างไร แต่ชีวิตมันจะคอยสอนว่าเราเองจะวางใจอย่างไรให้มองเห็นว่าการจากลาเป็นความธรรมดาที่ทุกคน ทุกครอบครัวต้องเจอ
อุง กับความกลัวที่ซ่อนอยู่ลึกสุดใจ
บาดแผลในใจที่ไม่มีวันหาย ถ้าหากมันเกิดขึ้นตั้งแต่วัยเด็กเท่าที่เราพอจำความได้ พอเติบโตขึ้นมาบิดเบี้ยวแบบนั้นก็อาจส่งผลให้เราเป็นผู้ใหญ่ที่บกพร่อง แต่กับอุงที่ยังคงเติบโตมาเป็นอย่างดี ก็เพราะมีครอบครัวและความรักหล่อเลี้ยงให้เขาเดินทางไปข้างหน้าต่อได้
วันที่ยอนซูบอกเลิกคือการเปิดบาดแผลทางใจครั้งใหญ่ เมื่ออุงรู้สึกถูกทิ้งอีกครั้ง ภาพเด็กตัวน้อยที่ถูกทิ้งไว้กลางทางโผล่ขึ้นมาจากความทรงจำ และเป็นเหตุการณ์สำคัญที่พลิกชีวิตของนักศึกษาศิลปะอนาคตไกลให้เป็นเพียงคนที่เลือกลาออกมา และทิ้งตัวทิ้งใจไปกับการถูกทอดทิ้งนั้น เหมือนกับว่าเขาไม่รู้จะมีชีวิตต่อไปได้อย่างไร
การวาดรูปที่เป็นสิ่งที่ใช้เวลา และยิ่งลงรายละเอียดเล็กจิ๋ว ยิ่งต้องใช้เวลาเนิ่นนาน ค่ำคืนที่ไม่อาจนอนหลับไป อุงใช้เวลาเหล่านั้นในการค่อยๆ วาดรูป เพื่อที่ค่ำคืนยาวนานจะหมดไป โดยเฉพาะในความมืดที่เขาต้องอยู่คนเดียว
และอย่างที่ในอีพีสุดท้ายได้คลี่คลายเอาไว้ การวาดรูปของเขาคือการเลือกวาดเฉพาะสิ่งที่เป็นตึกอาคารไร้ความรู้สึก และจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงหรือทอดทิ้งเขาไปไหน ภาพที่ได้เห็น หลายคนที่อยู่ในสภาวะเดียวกันก็ต้องมองออกว่าคนวาดใช้เวลาและความรู้สึกแบบไหนในการสร้างงานแสนเศร้านี้ออกมา
และทั้งที่มันเจ็บปวดขนาดนั้น แต่อุงยังยอมกลับไปคบยอนซูอีกครั้ง
เพราะเขารู้แล้วว่านั่นคือความสุข แม้มันจะมีโอกาสของความเจ็บปวด แต่ถ้าเขาเลือกปิดเส้นทางความเจ็บปวด ก็เป็นไปได้ว่าหนนี้เขาจะไม่ถูกทอดทิ้งไว้กลางทาง
“ผมจะไม่ปล่อยมือจากเธออีกแล้ว เพราะมันคือสิ่งที่ผมต้องการ การได้อยู่กับยอนซูไปชั่วชีวิต”
อุงเติบโตมาในครอบครัวที่งดงาม สมบูรณ์พร้อมทุกอย่าง แต่สำหรับเขามองว่ามันเป็นสิ่งที่เขาขอยืมมา มันไม่ใช่ของเขาจริงๆ ยิ่งได้รับความรักอย่างล้นเหลือ เขายิ่งรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ดีเกินกว่าชีวิตเขาควรจะได้รับ และเขาอาจจะไม่เป็นลูกชายที่ดีพอให้พ่อแม่ภูมิใจ
ความคิดของคนเราแตกต่างหลากหลาย และการที่อุงจะมีแผลใจในแบบนี้ก็เพราะอดีตและบาดแผลของเขา รวมถึงวิธีการรับมือกับปัญหา อย่างน้อยๆ อุงก็ยังโชคดีพอที่จะได้อยู่ในครอบครัวที่ดี แม้ว่าจะเริ่มต้นจากการถูกทอดทิ้งมาก่อนก็ตาม
ครอบครัวที่สอง และคนรอบตัวที่อาจกลายเป็นพ่อแม่พี่น้อง
ประเด็นที่น่าสนใจมากใน Our Beloved Summer และเรานำมาใช้ได้จริงในชีวิตของตัวเอง คือเรื่องของครอบครัวที่เราเกิดมา ซึ่งมันอาจจะสมบูรณ์พร้อม แหว่งเว้า โหดร้าย ธรรมดา หรืออะไรก็ตาม นั่นคือสิ่งที่เราเลือกไม่ได้ว่าจะเกิดมาในครอบครัวไหน
แต่กับครอบครัวที่สอง ที่ Our Beloved Summer บอกเล่าเอาไว้ ก็คือคนรอบตัวที่ในวันหนึ่งจะกลายเป็นพ่อแม่พี่น้องให้กับเรา
อุง ที่มีครอบครัวดั้งเดิมและไม่เคยพบหน้า กับครอบครัวใหม่ที่โอบกอดเขาไว้อย่างอบอุ่น รวมถึงครอบครัวที่คอยอยู่ข้างๆ เขาเสมอ จีอุง ยอนซู อึนโฮ รวมถึง NJ ที่ก้าวเข้ามาเป็นเพื่อนในช่วงเวลาหนึ่ง
จีอุง ที่แม้ครอบครัวจะไม่ได้สมบูรณ์พร้อม แม่เลี้ยงเขามาคนเดียวอย่างยากลำบาก และยังห่างเหินจนเข้าใจผิด เขายังได้พบกับครอบครัวที่สอง คือพีดีรุ่นพี่ที่เป็นทั้งเพื่อน ทั้งพ่อ ไม่เคยลืมวันเกิด และคอยให้กำลังใจอย่างที่สุด อุง เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่พอจะแบ่งปันความสุขทุกข์ให้แก่กัน แชรัน ที่ในตอนแรกเป็นเหมือนน้องสาว และไม่แน่ว่าอาจจะกลายเป็นคนสนิท
ยอนซู ที่แม้จะพูดอยู่เสมอว่ามีแค่ย่าเพียงคนเดียวในชีวิต แต่เมื่อมองไปรอบๆ อย่างตั้งใจ เธอก็มองเห็นพี่ซลอี และรุ่นพี่ซาจังนิมที่เชื่อใจ ชวนเธอทำงานในบริษัทของเขา เป็นการทำงานที่ทำให้เธอเหมือนมีครอบครัวใหม่ ครอบครัวที่คอยเป็นแขนขา เป็นแรงผลักดันให้เธอทำอะไรได้ยิ่งใหญ่กว่าเดิม
ชีวิตอาจเป็นแบบนี้ ไม่ได้ยุติธรรมอะไรนัก เต็มไปด้วยเรื่องร้ายๆ บาดแผลเจ็บๆ แต่ก็เป็นเราเองนี่ล่ะที่เลือกได้ว่าจะมองมันในมุมไหน เก็บเรื่องแบบไหนเอาไว้ในใจ ลบลืมเรื่องแบบไหนไปให้หมด เพราะสุดท้าย Our Beloved Summer ก็บอกเราไว้แบบนั้น ก้าวข้ามผ่านชีวิตยากๆ ไปให้ได้ และถ้ามันจะมีช่วงยากลำบากผ่านเข้ามาอีก ก็จงค่อยๆ พยายามผ่านมันไป