Alchemy of Souls EP.1-16 ทบทวนทุกเรื่องราวในอาณาจักรแดโฮ
รีวิว Alchemy of Souls EP.1-16 สำหรับค่ำคืนที่วันนี้ซีรีส์งดออกอากาศ ชาวแดโฮควรจะกลับมาทำการบ้านย้อนหลังว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร และกำลังจะเดินทางไปถึงไหน ด้วยบทความยาวเกิน 20 หน้าชิ้นนี้ที่ ดูซีรีส์ให้ซีเรียส ตั้งใจทำมาให้
Alchemy of Souls เป็นซีรีส์แนวแฟนตาซี โรแมนติก แอ็กชั่น ที่บอกเล่าเรื่องราวของเหล่าตัวละครมีโชคชะตาที่บิดเบี้ยวจาก ‘เวทมนตร์แปรวิญญาณ’
จางอุค (รับบทโดย อีแจอุค) คุณชายตัวปัญหาผู้น่าสงสารของตระกูลจางที่สูงศักดิ์ แต่ไร้ซึ่งความดี และยังมีความลับเกี่ยวกับชาติกำเนิดที่ถูกพูดถึงกันทั่วเมือง
มูด็อกอี (รับบทโดย จองโซมิน) หญิงตาบอดจากหมู่บ้านห่างไกลผู้อ่อนแอ ผู้เป็นสาวใช้และอาจารย์ลับๆ ของจางอุค โดยที่ตัวตนภายในของเธอมีวิญญาณของนักฆ่าผู้ยิ่งใหญ่ ‘นักซู’ ถูกขังอยู่ภายในร่าง
ดินแดนสมมติ ประเทศไม่มีปรากฏในแผนที่หรือในประวัติศาสตร์
Alchemy of Souls ดำเนินเรื่องภายใต้ฉากหลังของประเทศแดโฮ ดินแดนที่สมมติที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ทางตอนบนของคาบสมุทรเกาหลี ปกครองด้วยระบอบกษัตริย์ โดยเซ็ตเวลาย้อนกลับไปประมาณ 1,000 ปีก่อน ในช่วงที่ชาวโคกูรยออพยพเข้ามาก่อนที่จะก่อตั้งอาณาจักรบัลแฮ
สี่ตระกูลใหญ่แห่งแดโฮ
ประเทศแดโฮมี 4 ตระกูลใหญ่ที่เป็นดั่งเส้นเลือดของเมือง อันได้แก่ ตระกูลจาง ตระกูลซอ ตระกูลพัค และตระกูลจิน โดยทั้ง 4 ตระกูลนี้เป็นกลุ่มผู้มีอำนาจของเมือง และมีบทบาทสำคัญในสถานที่ต่างๆ ในประเทศแดโฮ
สถานที่สำคัญแห่งประเทศแดโฮ
ซงนิม (송림) ธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดแห่งประเทศแดโฮ โดยมี พัคจิน แห่งตระกูลพัค เป็นผู้นำ (รับบทโดย ยูจุนซัง) ภายในซงนิม ประกอบด้วย สถาบันทางการศึกษาที่ใหญ่ที่สุด เรียกว่า ชองจินกัก (정진각) และสถาบันทางการแพทย์ที่เรียกว่า เซจุกวอน (세죽원)
เซจุกวอน (세죽원) สถาบันทางการแพทย์ที่ดีที่สุดแห่งประเทศแดโฮ โดยมีผู้อำนวยการคือ ฮอยอม (รับบทโดย อีโดกยอง) ผู้ซึ่งเป็นสายตระกูลรองของตระกูลซอ และคอยทำหน้าที่คอยช่วยเหลือตระกูลซอเกี่ยวกับกิจการในเมืองหลวงอีกด้วย
ชอนบูกวาน (천부관) หน่วยงานในสังกัดราชวังที่มีหน้าที่ตรวจสอบและบันทึกความลับสำคัญ โดยมีผู้นำคือ จางคัง (รับบทโดย จูซางอุค) แห่งตระกูลจาง อีกทั้งยังเป็นพ่อของจางอุค
จินโยวอน (진요원) สถานที่รวบรวมและเก็บรักษาสิ่งของลึกลับที่มีพลังอันน่าพิศวง โดยมี จินโฮกยอง (รับบทโดย พัคอึนฮเย) เป็นผู้อำนวยการ
ชวีซอนรยู (취선루) บาร์ที่ดีที่สุดในประเทศแดโฮ โดยมี จูวอล (รับบทโดย พัคโซจิน) เป็นเจ้าของ ชวีซอนรยูเป็นศูนย์กลางของการพบปะสังสรรค์ในหมู่นักการเมืองและนักธุรกิจ และเป็นสถานที่ยอดนิยมที่หนุ่มสาวคนดังมักแวะมาเยี่ยมเยือน
Alchemy of Souls EP.1-2 เรื่องราวของเหล่าจอมเวทย์ในดินแดนที่ไม่ปรากฏในทุกหน้าประวัติศาสตร์
Alchemy of Souls EP.1-2 เริ่มต้นด้วยการปูเรื่องราวของ ‘อาณาจักรแดโฮ’ ดินแดนของเหล่านักเวทย์ และการใช้เวทมนตร์แปรวิญญาณ ที่เป็นเรื่องราวสมมติในซีรีส์เรื่องนี้
“พลังของท้องฟ้าที่ควบคุมลม เมฆ และฝน ได้มาบรรจบกับดิน จึงเกิดพลังที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมา และอาณาจักรได้ถูกตั้งขึ้น ล้อมรอบทะเลสาบคยองชอนแดโฮ ที่บรรจุพลังนั้นไว้
“ดินแดนนั้นมีชื่อว่าอาณาจักรแดโฮ และมีเหล่ามนุษย์ที่คอยควบคุมพลังนั้นไว้ เรียกว่า ‘จอมเวทย์’ และนี่คือเรื่องราวของพวกเขา”
หลังจากได้เห็นโปสเตอร์และตัวอย่างแล้วต้องขอบอกเลยว่านี่คือซีรีส์แฟนตาซีที่มีแนวโน้มที่ดีอย่างมาก และสองตอนแรกก็ทำได้ไม่ผิดหวัง ทั้งงานภาพ งานซีจีที่นำเสนอเวทมนตร์ เมื่อนำมารวมกับฉากแอ็กชั่นคือทำได้อย่างลื่นไหล การแบ่งตัวละครออกเป็น 4 ตระกูลจอมเวทย์ที่ยิ่งใหญ่ก็ทำให้คนดูทำความเข้าใจความสัมพันธ์ของแต่ละตัวละครได้ง่ายขึ้น ถึงแม้ว่าจะมีตัวละครจำนวนมากก็ตาม
ในสองอีพีแรก ได้มีการเล่าถึงเวทมนตร์การแปรวิญญาณว่ามักจะเลือกทำในผู้ที่มีลักษณะคล้ายๆ กัน ทั้งเพศ ความแข็งแรง รูปร่าง เพราะถ้าวิญญาณไม่สามารถแปรเข้ากับร่างใหม่ได้อย่างสมบูรณ์และเกิดช่องโหว่ จะทำให้พลังงานในร่างรั่วออกมา ทำให้ร่างนั้นตายและกลายเป็นหิน เวทมนตร์แปรวิญญาณจึงเป็นหนึ่งเวทมนตร์ต้องห้ามของเมือง และทางการได้คอยตามกำจัดผู้แปรวิญญาณอยู่เรื่อยๆ
ปัจจุบัน 20 ปีผ่านมา ‘นักซู’ (รับบทโดย โกยุนจอง) นักฆ่าผู้ยิ่งใหญ่ เกิดเพลี่ยงพลํ้าจากการต่อสู้ ทำให้เลือกที่จะแปรวิญญาณเพื่อรักษาให้ชีวิตรอด แต่ความผิดพลาดบางอย่างได้แปรเข้ามาในร่างของหญิงตาบอดอ่อนแอ ‘มูด็อกอี’ (รับบทโดย จองโซมิน) และได้กลายมาเป็นสาวใช้ของ ‘จางอุค’ (รับบทโดย อีแจอุค) ชายชั้นสูงเจ้าปัญหาที่มีปมกับชาติกำเนิดของตน และถูกพ่อของเขา ‘จางคัง’ (รับบทโดย จูซางอุค) ปิดประตูพลังเอาไว้ ทำให้เขาไม่สามารถเรียนรู้หรือใช้เวทมนตร์ใดๆ ได้
จางอุคมุ่งมั่นที่จะตามหาอาจารย์ที่จะเปิดประตูพลังและคอยสอนเวทมนตร์ต่างๆ ให้เขา และเมื่อเขาได้ล่วงรู้ว่านักซูแปรวิญญาณมาอยู่ในร่างของมูด็อกอีแล้ว เขาจึงไม่ลังเลที่จะให้เธอมาเป็นอาจารย์ของเขานั่นเอง
Alchemy of Souls ไม่เพียงแต่นำเสนอความแฟนตาซี ย้อนยุค แอ็กชั่น แต่ในสองตอนแรกยังมีความคอเมดี้และเคมีของทั้งสองนักแสดงนำที่กลมกล่อมสอดแทรกไปในซีรีส์เรื่องนี้อีกด้วย และหากใครยังไม่ปักใจกับซีรีส์เรื่องไหนในช่วงนี้แล้วล่ะก็ นี่ก็ถือเป็นหนึ่งในซีรีส์ที่เราแนะนำให้เปิดใจชม เพราะไม่เพียงความอลังการของโปรดักชั่นและซีจีเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องราวแฟนตาซี ย้อนยุค แอ็กชั่น โรแมนติก ที่สดใหม่และน่าสนใจมากมายที่รอจะได้รับการเปิดเผยในตอนต่อๆ ไป
Alchemy of Souls EP.3-4 เปลี่ยนความอวดดีให้เป็นแรงใจ
Alchemy of Souls EP.3-4 จะเน้นไปที่ตัวละคร จางอุค เป็นส่วนใหญ่ ตั้งแต่ภูมิหลัง ความตั้งใจ และพัฒนาการในเวลาสั้นๆ ของเขา แต่ก็ยังไม่ละทิ้งพาร์ตคอเมดี้ และยังสอดแทรกความโรแมนติกเข้ามาบ้าง ทำให้การรับชมตลอดหนึ่งชั่วโมงในแต่ละอีพีไม่น่าเบื่อ
ชีวิตของจางอุคที่ถูกปิดประตูพลังโดย จางคัง พ่อของเขาเอง นอกจากจะไม่สามารถฝึกเวทมนตร์ได้แล้ว ยังทำให้ถูกซุบซิบนินทาจากผู้คนทั่วเมืองว่าเขาไม่ใช่ลูกของจางคัง ผู้นำแห่งชอนบูกวันผู้ยิ่งใหญ่ นั่นทำให้จางอุคอยากที่จะเป็นจอมเวทย์ให้ได้ เพื่อที่จะพิสูจน์ว่าเขาคือลูกของจางคังจริงๆ
ใน EP.3 ได้พูดว่าหนทางการเป็นสุดยอดจอมเวทย์นั้นไม่ใช่ง่าย โดยจะต้องผ่านด่านและเรียนรู้การใช้พลังถึงสามขั้น คนอย่างจางอุคที่ประตูพลังถูกปิดมาตลอดชีวิตของเขาและไม่เคยเรียนรู้มาก่อน การจะฝึกฝนและใช้พลังแต่ละขั้นอาจใช้เวลาไปถึง 20 ปีก็เป็นได้
“เป็นแรงใจต่างหาก อย่าทำให้ใจฝ่อสิ”
ประโยคของจางอุคใน EP.3 ด้วยคำสัญญาของ พัคจิน ที่จะรับเขาเข้าเรียนเวทมนตร์ในจองจินกัก ถ้าเขาดึงดาบของจอมเวทย์จางคังผู้เป็นพ่อได้สำเร็จ แต่ด้วยนิสัยของจางอุคเองที่ดูขี้เล่น ไม่จริงจังตามประสาคุณชาย อาจจะทำให้ดูเหมือนความตั้งใจที่ว่า ‘จะฝึกให้ได้ภายใน 3 เดือน 6 เดือน’ ดูเหมือนคำอวดดีในสายตาของมูด็อกอี ซึ่งใน EP.3-4 มีการพูดถึงความอวดดีกับแรงใจอยู่หลายรอบด้วยกัน
โดยคำว่า ‘อวดดี’ ในภาษาเกาหลีคือ 허세 (อ่านว่า ฮอ-เซ) เปลี่ยนเป็น ‘แรงใจ’ ในภาษาเกาหลีคือ 기세 (อ่านว่า คี-เซ) ด้วยการเปลี่ยนแค่หนึ่งพยางค์เท่านั้น แต่ความหมายที่เกิดขึ้นแตกต่างกันมาก
และด้วยกิมมิกเล็กๆ นี้ เหมือนเป็นการบอกว่าเพียงเปลี่ยนความอวดดีเป็นแรงใจ เป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ยากเหมือนกับการเปลี่ยนแค่พยางค์เดียว และมันจะกลายเป็นกำลังใจ เป็นพลังที่ทำให้สิ่งที่เราต้องการสำเร็จได้ เหมือนกับจางอุคที่เปลี่ยนเป้าหมายของเขาที่ดูเหมือนอวดดีในสายตามูด็อกอี กลายเป็นพลังใจที่จะทำให้เขาดึงดาบของพ่อให้สำเร็จจงได้
ความสัมพันธ์ของอาจารย์และลูกศิษย์
EP.3-4 จะเห็นถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองชัดเจนได้มากขึ้น ศิษย์อย่างจางอุคที่ช่วยอาจารย์เวลาที่ตกอยู่ในที่นั่งลำบาก อาจารย์ที่ทั้งฝึกฝน ช่วยเหลือลูกศิษย์ในยามที่หมดกำลังใจ อย่างใน EP.4 ที่จางอุคเริ่มไม่มั่นใจว่าเป้าหมายของเขาเป็นแค่ความอวดดีหรือไม่ แต่ด้วยคำตอบจากอาจารย์อย่างนักซูว่า “แรงใจต่างหาก อย่าเพิ่งใจฝ่อสิ” แค่ประโยคเดียวจากอาจารย์ก็เพิ่มพลัง เพิ่มความเชื่อใจในตัวเองให้กับจางอุคแล้ว ความสัมพันธ์ของทั้งสองใน EP.3-4 ทั้งคู่คอยเป็นกำลังใจให้กันและกัน เป็นเหมือนกับนํ้าพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า
เมื่อขาดเป้าหมาย ก็หมดแรงใจ
ต้องยกจางอุคให้เป็นอีกหนึ่งในตัวละครสู้ชีวิตแต่ชีวิตสู้กลับ จะเห็นได้ว่าหนทางที่จะเป็นจอมเวทย์ของจางอุคดูจะขรุขระ ไม่ราบเรียบ ตั้งแต่ประตูพลังถูกปิด แม้ว่าใน EP.4 จางอุคจะสามารถดึงดาบของพ่อออกมาได้แล้วก็ตาม แต่ด้วยพลังเวทย์จากฮอยอมที่ได้รับมาตอนเปิดประตูพลังยังไหลเวียนไม่ดี ทำให้ควบคุมไม่ได้ และเป็นสาเหตุที่ทำให้หัวหน้าซงริมอย่างพัคจินไม่รับเขาเข้ามาในซงริมตามที่เคยสัญญาไว้
ถึงแม้ว่าพัคจินจะตะล่อมให้จางอุคล้มเลิกความคิดที่จะเป็นจอมเวทย์ แต่ให้มาเรียนค้าขายหรือเรียนวิชาแพทย์แทน แต่ความตั้งใจของจางอุคคือการสืบต่อชอนบูกวันที่พ่อของเขาเป็นผู้นำอยู่ เพื่อทำให้ทุกคนเห็นว่าเขาคือลูกของจางคังจริงๆ ไม่ใช่อย่างที่คนซุบซิบนินทา
ทำให้พัคจินต้องหลอกจางอุคด้วยเรื่องชาติกำเนิดของเขาว่าไม่ใช่ลูกจางคัง แต่เป็นลูกคนอื่นกับแม่ของเขาตามที่คนอื่นพูดกัน ซึ่งนั่นทำลายความเป้าหมายและตั้งใจของเขาจนสิ้นซาก เพราะสิ่งนี้เป็นปมในใจของจางอุคมาตั้งแต่เกิด เมื่อเขาไม่ใช่ลูกจางคังก็ไม่มีอะไรต้องพยายามต่อแล้ว และยิ่งออกมาจากปากพัคจินที่เขาเคารพแล้วด้วย ทำให้จางอุคหมดเป้าหมาย หมดแรงใจ หมดเรี่ยวแรงที่จะสู้ต่อ
แต่นักซูในร่างของมูด็อกอีก็ยังคงไม่ยอมแพ้ นอกจากจะพยายามกระตุ้นจางอุคที่หมดใจกับการเป็นจอมเวทย์แล้ว ยังพยายามหาหนทางที่จะทำให้จางอุคกลับไปฝึกวิชาเวทย์
Alchemy of Souls กำลังบอกถึงความตั้งใจในเป้าหมายของเราว่าเพียงแค่เปลี่ยนความคิดเล็กน้อย เหมือนกับการเปลี่ยนแค่หนึ่งพยางค์ที่สามารถเปลี่ยนคำว่าความอวดดีให้เป็นพลังใจได้ และยิ่งถ้ามีคนที่คอยอยู่ข้างเราเพียงแค่สักคนเดียว อาจจะเพิ่มความเชื่อใจกับตัวเรา และอาจจะทำให้เราไม่ละทิ้งเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ก็เป็นได้
Alchemy of Souls EP.5-6 นายน้อยซอยุล และความทรงจำที่กลับมาผลิบานอีกครั้ง
Alchemy of Souls EP.5-6 เล่าเรื่องราวของนักซูในอดีต ตั้งแต่ครอบครัวที่ถูกสังหารโหด, หนทางการเป็นนักสังหารเงา, ความตั้งใจในฐานะอาจารย์ที่มีต่อจางอุค รวมไปถึงเรื่องราวความสัมพันธ์ในอดีตของนักซูและซอยุล
นักซู อาจจะเป็นตัวละครที่ดูแข็งแกร่ง เป็นถึงนักสังหารเงา แต่ใน EP.5 เราได้รู้ว่านักซูมีภูมิหลังที่โดดเดี่ยว หลังจากพ่อถูกสังหารโดยจอมเวทย์ทั้งสี่ตระกูล เธอไม่มีทั้งที่พึ่งหรือคนที่คอยเป็นห่วงเป็นใย เติบโตมาด้วยตัวเองใน ‘ดันฮยางกก’ สถานที่อันตรายและเปล่าเปลี่ยวผู้คน นักซูอาจจะดูเข้มแข็งในสายตาคนนอก แต่นี่อาจจะเป็นความแข็งแกร่งเพื่อที่จะอยู่รอดเพียงลำพังก็เป็นไปได้
“ฉันไม่รู้ว่าฉันแข็งแกร่งขึ้นเพื่อมีชีวิตรอด หรือฉันมีชีวิตรอดเพราะแข็งแกร่ง” ดังนั้นการที่นักซูได้พบกับซอยุลในสมัยเด็กก็อาจจะเป็นความทรงจำที่ดีเพียงหนึ่งเดียวของเธอ เป็นเพียงครั้งเดียวที่เธอสามารถแสดงความเป็นตัวเองออกมา เป็นเพียงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่มีเพื่อนเล่นเป็นครั้งแรก และยังคงจำไม่เคยลืมมาจนปัจจุบัน
ซอยุล (รับบทโดย ฮวังมินฮยอน) ทายาทแห่งตระกูลซอ หนึ่งในตระกูลจอมเวทย์ทั้งสี่ ซอยุลเป็นตัวละครสุดอัจฉริยะ เขาเป็นจอมเวทย์แห่งจองจินกัก สถานศึกษาเวทมนตร์แห่งซงริม นอกจากความรู้ความสามารถที่เก่งกาจแล้ว ยังเป็นนายน้อยหน้าตาหล่อเหลา และยังมีบุคลิกภาพดีจนเรียกว่าสมบูรณ์แบบ ขาดตกบกพร่องก็เพียงเรื่องงานครัวที่ลำพังจะหั่นต้นหอมก็ยังกุกกัก จนทำให้เขารู้ว่าความสมบูรณ์แบบที่คนทั่วไปมองเห็นนั้นไม่ใช่อย่างที่คิดเสมอไป
EP.6 เรียกว่าเป็นตอนที่เผยให้เห็นตัวตนรวมถึงความหลังของซอยุล และนักซูแห่งดันฮยางกก การพบกันโดยไม่มีคนอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้องทำให้ทั้งสองสนิทสนม เกิดเป็นความรักครั้งแรกของพวกเขา แต่เมื่อเวลาผ่านไป ซอยุลเองก็ได้แต่เก็บฝังความรู้สึกนั้นเอาไว้
‘รักแรก’ ที่ทำได้แค่เพียงนึกถึง กลับมามีภาพจำชัดเจนอีกครั้งเมื่อซอยุลได้เดินทางไปดันฮยางกก สถานที่แห่งความทรงจำ เราได้เห็นรอยยิ้มของซอยุลที่มีให้กับเธอคนนั้น เปรียบเสมือนว่าความทรงจำที่ดีในครั้งนั้นค่อยๆ ผลิบานกลับมาอีกครั้ง
รักแรกมักเป็นสิ่งที่ลืมยากไม่ว่าสำหรับใครก็ตาม เพราะมันคือความทรงจำที่ฝังลึกในจิตใจ เป็นการทดลอง การเริ่มต้นอะไรๆ เป็นครั้งแรกในชีวิต
แต่ถึงอย่างนั้นก็น่าเป็นห่วงว่า Alchemy of Souls อาจจะผลักดันให้ซอยุลไปยืนอยู่ฝั่งพระรองผู้พ่ายแพ้ในความรัก เพราะตัวนายน้อยซอยุลดูเหมือนจะผูกติดกับสูตรสำเร็จ Second Lead Syndrome หรือพระรองในซีรีส์เกาหลีอย่างเห็นได้ชัด
ซอยุลเป็นหนึ่งในตัวละครมีสูตรสำเร็จของความเป็นพระรองเห็นได้ชัด ด้วยหน้าตาที่หล่อเหลา กิริยามารยาท ความรู้ความสามารถ ความแสนดี เรียกว่าเป็นพิมพ์นิยมแบบเนื้อแท้ที่ผู้คนตามหากันให้ควั่ก
ซอยุลมีความหลังกับนางเอกที่เคยสนิทสนมกันในวัยเด็ก หรือมีความชอบแบบรักครั้งแรก อย่างเช่นในซีรีส์จำนวนมากมาย
ความเป็นผู้ชายอ่อนโยนที่แสนดี ทำให้เขามีแนวโน้มว่าจะยอมหลีกทาง และทำทุกอย่างเพื่อรักแท้ของเขา
มีโอกาสในการทำคะแนน แต่ด้วยความแสนดีหรืออะไรก็ตาม ทำให้เขายอมเป็นผู้ดูแลมากกว่าจะก้าวเข้าไปเป็นเจ้าของ
ซึ่งตัวละครพระรองในรูปแบบนี้มักขโมยใจผู้ชมได้อยู่หมัด เพราะทุกคนล้วนเห็นถึงความดีและความพยายาม แต่มักจะไม่สมหวังกับนางเอก ตัวอย่างเช่น องค์ชายแปด จาก Moon Lovers: Scarlet Heart Ryeo (2016), ฮันจีพยอง จาก Start-Up (2020) หรือคิมจองฮวัน จาก Reply 1988 (2015) ที่เคยสร้างปรากฏการณ์ Second Lead Syndrome มาแล้ว
สองอีพีล่าสุดอาจจะทำให้เรากระชุ่มกระชวยจิตใจไปกับความทรงจำที่กำลังผลิบานอีกครัั้งของนักซูกับซอยุล และทำให้ผู้ชมคอยเอาใจช่วยทั้งสอง แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะสะกิดปมสำคัญที่รอคอยการเปิดเผยต่อไปในอนาคต
Alchemy of Souls เคล็ดลับวิชา ‘แปรวิญญาณ’ และข้อควรรู้ของหินน้ำแข็ง จากปากคำอาจารย์อี
หลังจากสงสัยกันมาหลายอีพี ในที่สุด Alchemy of Souls ก็เปิดข้อมูลการ ‘แปรวิญญาณ’ ที่กลายเป็นต้นเหตุของความวุ่นวายในยุทธภพ โดยท่านอาจารย์อี ผ้าใยป่าน ได้บอกเล่าความลับนี้ไว้ใน Alchemy of Souls ช่วงต้น EP.7 ที่ทำให้คนดูถึงบางอ้อ อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เองสินะ
“อาณาจักรแดโฮเคยเกิดภัยแล้งแสนยาวนานอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เป็นภัยแล้งรุนแรงจนทำให้พลังของทะเลสาบคยองชอนแดโฮเหือดแห้งเชียวล่ะ เหล่าจอมเวทย์ของแดโฮได้ทำพิธีเพื่อเติมเต็มพลังที่เหือดแห้งของทะเลสาบ หลังจากนั้นฝนลูกเห็บก็เริ่มตกจากฟากฟ้า แต่ว่าในบรรดาลูกเห็บที่ตกลงมานั้น มีน้ำแข็งที่ไม่ละลายอยู่ด้วย
“ก้อนน้ำแข็งที่ไม่ละลายนั้นได้เปลี่ยนเป็นเปลวเพลิง เป็นก้อนหิน และกลายเป็นน้ำ สุดท้ายมันกลายแปรกลับกลายมาเป็นก้อนน้ำแข็งดังเดิม ซึ่งได้เกิดผงหินสีดำจากกระบวนการนั้น นั่นคือผงขับวิญญาณที่ใช้ในศาสตร์แปรวิญญาณ
“พลังของผงหินดำขับวิญญาณนั้นยิ่งใหญ่โดยแท้ มันสามารถเรียกวิญญาณกลับมายังร่างที่ตายไปแล้ว และทำให้ฟื้นคืนชีพได้ รวมถึงสลับวิญญาณของกันและกันได้ แล้วยังสามารถขับไล่วิญญาณของคนเป็น และแย่งชิงพลังงานของคนคนนั้นมาได้ด้วย
“ในท้ายที่สุด พลังที่น่าทึ่งนั้นก็ทำให้เกิดโกลาหลขึ้น เพื่อครอบครองก้อนน้ำแข็งที่ไม่ละลาย ซึ่งสร้างผงขับวิญญาณขึ้นมา เหล่าจอมเวทย์ได้ฆ่าฟันกันอย่างนองเลือด และแผ่นดินแดโฮก็แทบจะกลายเป็นนรกบนดิน
“บุคคลที่ทำให้สงครามยาวนานนั้นสิ้นสุดลงก็คือท่านอาจารย์ซอกยอง ผู้ก่อตั้งสำนักจองจินกักในซงริม”
เมื่อรวบรวมคำบอกเล่าของอาจารย์อี ผ้าใยป่าน และข้อมูลจากซีรีส์บางส่วน เราก็พอจะสรุปได้ว่าการแปรวิญญาณนั้น
– ฟื้นคืนวิญญาณให้กลับสู่ร่างที่ตายไปแล้วได้
– สลับวิญญาณระหว่างสองร่างได้ อย่างที่จางอุคเกือบโดนไปแล้ว
– ดูดพลังจากวิญญาณคนเป็นได้ เพื่อเพิ่มพลังให้กับวิญญาณในร่างสิงให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น
– การแปรวิญญาณต้องเป็นนักเวทย์ที่ฝึกฝนไปจนถึงขั้นฮวันซู
– แต่หากยังฝึกไม่ถึงขั้นฮวันซู จำเป็นต้องใช้หินน้ำแข็งมาช่วยในการแปรวิญญาณ
ซึ่งกระบวนการการทำงานของหินน้ำแข็งนั้นแปรเปลี่ยนได้เป็น 4 สถานะตามลำดับ ประกอบด้วย
– หินน้ำแข็ง เป็นก้อนผลึกใส
– หินไฟ เปลวเพลิง ความร้อน
– ก้อนหิน อย่างที่ผู้แปรวิญญาณที่ทำไม่สำเร็จจะเสียชีวิตจนแข็งกลายเป็นก้อนหิน
– น้ำ อย่างที่ได้เห็นคราบน้ำทิ้งร่องรอยของผู้แปรวิญญาณที่พลังอ่อนแอ และควบคุมพลังไว้ไม่ได้
– สิ่งที่ตกค้างจากกระบวนการ ผงขับวิญญาณที่ตกค้างจากการแปรวิญญาณ
สถานะทั้ง 4 ของหินน้ำแข็งจะเกี่ยวข้องกับ 4 ฤดูกาลของ 4 ตระกูล พัค จิน จาง ซอ หรือไม่ ในตอนนี้ก็ยังไม่อาจคาดเดาได้ รวมถึงความซับซ้อนที่ต้องรอการพิสูจน์ต่างๆ อีกมากมาย ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นความวุ่นวายที่เกิดจากพลังอันเหลือล้นของหินน้ำแข็งแปรวิญญาณนี่เอง
ที่ต้องพิสูจน์
– ใน EP.8 ได้เปิดประเด็นความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างราชินีแดโฮ ที่เดิมเป็นคนตระกูลชเว ขณะที่ตระกูลซอก็เกี่ยวดองเป็นญาติกับราชินีด้วย
– จินมู ที่ในตอนแรกถูกเข้าใจว่าเขาคือดันจู หรือบอสใหญ่ตัวร้าย เอาจริงๆ แล้วอาจเป็นแค่หุ่นเชิดที่มีเจ้านายที่แท้จริงเป็นดันจูที่ยังไม่เปิดเผยตัว ซึ่งไม่แน่ว่าอาจแฝงตัวสร้างความสับสนให้คิดไม่ถึง ด้วยการแปรวิญญาณไปอยู่ในร่างราชินี หรือจะพลิกไปสู่เหตุผลอื่นๆ ได้อีก
– ในตอนนี้ แดโฮมีหินน้ำแข็งอยู่มากน้อยเท่าไหร่ และทำไมราชินีถึงได้ครอบครองสิ่งล้ำค่านี้ ทั้งที่อาจารย์ซอกยองได้ยุติสงครามไปเมื่อ 200 ปีก่อนแล้ว หรือว่ามีใครสักคนไปเปิดผนึกเอาหินน้ำแข็งมาใช้ในทางที่ผิด
– ทำไมกิลจูถึงได้มีหินน้ำแข็งอยู่ในครอบครอง และต้องการแปรวิญญาณเป็นนายน้อยจางอุค เพราะได้รับคำสั่งลับจากดันจูที่แท้จริง หรือเป็นความทะเยอทะยานของเขาเองที่จะขึ้นไปให้ถึงจุดสูงสุดของฐานันดร
– ชาติกำเนิดของนักซูที่แท้ เพราะถ้าฟังจากที่ กิลจู ลูกน้องข้างกายจินมู เปิดปากพูดความจริงเกี่ยวกับความลับเรื่องพ่อของนักซู ชีวิตวัยเด็กของเธอน่าจะสับสนพอสมควร รวมถึงการเปิดประตูห้องลับในจินโยวอนได้ กระจกแห่งความปรารถนาบอกว่าได้พบกันอีกแล้ว เหล่านี้คือความสับสนยิ่งขึ้นไปอีก
– บูยอน ลูกสาวคนโตของตระกูลจินหายไปไหน พ่อของนางก็ยังไม่ปรากฏตัว มีเพียงคำบอกเล่าว่าไปตามหาลูกสาว
– ฯลฯ
Alchemy of Souls EP.7-8 ใครเป็นใคร ย้อนรอยความสัมพันธ์เหล่าจอมเวทย์แห่งแดโฮ
ใน Alchemy of Souls EP.7-8 มีการบอกใบ้ปมอดีตต่างๆ และความสัมพันธ์ของเหล่าจอมเวทย์แห่งแดโฮ จนทำให้คนดูทางบ้านเริ่มร้องขอไวท์บอร์ด พร้อมยาดมแก้ปวดหัว เพราะตัวละครเยอะเหลือเกิน ดูซีรีส์ให้ซีเรียส จึงได้รวบรวบข้อมูลตัวละครสำคัญๆ พร้อม Recap ประเด็นต่างๆ เตรียมพร้อมความรู้ให้แน่น ก่อนที่จะรอการเฉลยปมปริศนาในอนาคต
จินโยวอนและกระจกแห่งความปรารถนา
ใน EP.7 มูด็อกสามารถเปิดประดูเข้าไปในจินโยวอนที่มีเฉพาะคนในตระกูลจินเท่านั้นที่สามารถเปิดได้ และมูด็อกที่ติดอยู่ในกระจกสามารถออกมาได้โดยทำให้กระจกแห่งความปรารถนาแตกสิ้น ซึ่งสร้างความแปลกประหลาดใจทั้งกับตัวเธอเอง จินโฮกยอง และจินโชยอน จากตระกูลจินไม่น้อย
มีความเป็นไปได้สูงว่ามูด็อกจะเป็นพี่สาวคนโตของตระกูลจินที่หายสาบสูญไป ตามคำพูดของกระจกแห่งความปรารถนาที่พูดว่า “ไม่ได้เจอกันนาน”
ความสับสนเรื่องมูด็อกยังไม่หมด ในระหว่างการแปรวิญญาณของกิลจูกับจางอุค ปรากฏว่าหญิงตาบอดเข้ามาช่วยเอาไว้ ซึ่งหญิงคนนั้นไม่ใช่นักซู หรือเป็นไปได้ว่าจะเป็นวิญญาณของมูด็อกตัวจริงที่ยังคงแฝงวิญญาณอยู่ในร่าง รอคอยวันได้ออกมามีชีวิตอีกครั้ง
ความลับของการแปรวิญญาณ
ใน EP.8 จางอุคถูกกิลจู จอมเวทย์ในชอนบูกวัน ลูกน้องข้างกายของจินมูแปรวิญญาณ แต่ไม่สำเร็จ กิลจูได้เปิดเผยว่าดันจูคือผู้ที่ครอบครองหินนํ้าแข็งจะสามารถยับยั้งไม่ให้การแปรวิญญาณควบคุมไม่ได้ ดันจูที่ถูกเข้าใจว่าคือจินมู แท้จริงแล้วอยู่ในวังหลวงนั่นเอง
ข้อมูลจุดนี้ทำให้ความเข้าใจเกี่ยวกับการแปรวิญญาณชัดเจนขึ้น ก็คือคนที่สามารถแปรวิญญาณได้ต้องฝึกผ่านขั้นฮวันซูแล้ว หรือถ้ายังไม่ผ่านก็จำเป็นต้องมีหินน้ำแข็งเพื่อใช้เป็นพลังวิเศษช่วยในการแปรวิญญาณ
ดันจูและตระกูลชเว
ดันจู หรือหัวหน้าสมาชิกกลุ่มลับที่เป็นเหมือนบอสใหญ่ของจินมู ได้รับการเปิดเผยว่าเป็น มเหสีซอฮาซอน แห่งตระกูลซอ แต่มเหสีได้กล่าวถึงตระกูลชเวว่าเป็น ‘ตระกูลของฉัน’ พร้อมกับบอกถึงเป้าหมายที่ต้องการกำจัดซงริมที่ทำให้ตระกูลชเวสิ้นไป และต้องการก่อตั้งตระกูลชเวขึ้นอีกครั้ง
ปมความแค้นระหว่างตระกูลที่เราได้เห็นในซีรีส์ย้อนยุคจะกลับมาอีกครั้ง เพราะเท่าที่เห็นความสัมพันธ์ของเหล่าตัวละครก็ค่อนข้างชัดเจนว่าการสืบต่ออำนาจเกิดขึ้น โดยแต่ละตระกูลต่างต้องการให้คนในครอบครัวไปเกี่ยวดองกับราชวงศ์เพื่อสืบสานอำนาจทั้งสิ้น
ความสำเร็จของวิชาทันซู
หลังจากจางอุคถูกผงขับวิญญาณจากการแปรวิญญาณที่ไม่สำเร็จของกิลจู จางอุคสามารถควบคุมพลังได้สำเร็จ ส่งผลในการแข่งขันกับรัชทายาทโกวอน จางอุคใช้วิชาทันซูเอาชนะไปได้ และสามารถเข้าไปศึกษาในจองจินกักแห่งซงริมได้สำเร็จตามเป้าหมายที่เขาต้องการ เป็นก้าวสำคัญที่จะเข้าไปสู่การเป็นผู้สืบทอดของชอนบูกวันต่อจาก จางกัง พ่อของเขา
ถึงอย่างนั้น ภูมิหลังชีวิตของเขาที่เริ่มมีคนรู้ความลับมากขึ้นเรื่อยๆ ก็น่าสนใจว่าจะลงท้ายเรื่องราวไปในทิศทางใด และอย่างน้อยๆ จางกันที่หายตัวไปจากแดโฮนานนับยี่สิบปี เมื่อไหร่จะกลับมาจัดการปัญหาต่างๆ ที่ทิ้งค้างไว้อยู่
เรื่องราวที่รอการเฉลย
– มูด็อกที่สามารถเปิดประตูจินโยวอนสำเร็จจะเป็นลูกสาวของตระกูลจินที่หายไปหรือไม่?
– ตระกูลชเวมาจากไหน ทำไมจึงหายไป?
– ดันจูที่แท้จริงจะเป็นผู้แปรวิญญาณจากตระกูลชเวหรือไม่?
– เหตุใดมูด็อกจึงไม่เกิดการควบคุมไม่ได้ของการแปรวิญญาณ?
– หินนํ้าแข็งที่ควรเก็บรักษาไว้ทำไมจึงไปอยู่กับดันจูได้?
ใน EP.8 เป็นเหมือนบทสรุปองก์แรกของ Alchemy of Souls เรื่องราวหลังจากนี้อาจจะเน้นเข้าไปในจองจินกักแห่งซงริม เพื่อให้เห็นพัฒนาการด้านวิชาเวทย์ของจางอุค
และเนื่องด้วยโอกาสนี้ ดูซีรีส์ให้ซีเรียส จะมาแนะนำตัวละคร รวมไปถึงความสัมพันธ์เกี่ยวข้องของตัวละครทั้งหมด เพื่อเสริมความเข้าใจกับเรื่องราวในปัจจุบันและที่จะเปิดเผยในตอนต่อๆ ไปแบบจัดเต็ม
ตัวละครหลัก
จางอุค ทายาทแห่งตระกูลจาง ลูกชายของจางกังในขณะที่แปรวิญญาณกับกษัตริย์องค์ก่อน เกิดมาพร้อมชะตาที่ได้รับพลังจากดาวกษัตริย์
มูด็อกอี หญิงตาบอดจากหมู่บ้านซารี ร่างกายอ่อนแอ มีวิญญาณของ นักซู ที่แปรวิญญาณอยู่ในร่าง ปัจจุบันเป็นสาวใช้และอาจารย์ลับๆ ของจางอุค
นักซู มือสังหารเงาที่แปรวิญญาณเข้าไปในร่างของ มูด็อกอี อดีตเป็นลูกสาวของ โจชุง จอมเวทย์ผู้บันทึกดวงดาวแห่งชอนบูกวัน
อาณาจักรแดโฮประกอบด้วย 4 ตระกูลจอมเวทย์ใหญ่ ได้แก่ ตระกูลจาง ซอ จิน พัค
ตระกูลจาง ตระกูลที่สืบทอดสำนักชอนบูกวัน เป็นสำนักที่บันทึกกลุ่มดาวหรือความลับจากท้องฟ้า โดยขึ้นตรงกับพระราชวัง
จางกัง เป็นผู้นำของชอนบูกวันคนปัจจุบัน
โดฮวา แม่ของจางอุคที่เสียชีวิตไปเมื่อ 20 ปีก่อน
คิมโดจู หรือแม่บ้านคิม เป็นผู้ดูแลจางอุคและเรื่องราวต่างๆ ให้กับตระกูลจาง
ตระกูลซอ ตระกูลที่อยู่ ณ ซอโฮซอง ตะวันตกสุดของอาณาจักรแดโฮ
ซอยูล จอมเวทย์แห่งจองจินกักแห่งซงริม มีความหลังอันดีกับนักซู ณ ดันฮยางกก ที่อยู่ของนักซูในอดีต
ฮอยอม สายตระกูลรองของตระกูลซอ เป็นผู้อำนวยการของสำนักการแพทย์ เซจุกวอน
ฮอยุนอ๊ก หลานสาวของฮอยอม แห่งเซจุกวอน มีความสามารถด้านการแพทย์
ตระกูลจิน เป็นตระกูลที่ดูแลสำนักจินโยวอน สถานที่รวบรวมสิ่งของลึกลับต่างๆ จากพลังของหินนํ้าแข็ง โดยตระกูลจินสืบทอดเชื้อสายจากลูกสาวเท่านั้น
จินโชยอน เซเลบแห่งแดโฮ ลูกสาวคนเล็กของตระกูลจิน อดีตคู่หมั้นของจางอุค
จินบูยอน ลูกสาวคนโตของตระกูลจินที่หายสาบสูญไปแล้วกว่า 10 ปี
จินโฮกยอง แม่ของจินบูยอนและจินโชยอน ผู้อำนวยการของจินโยวอน
จินอูทัก สามีของจินโฮกยองที่แต่งเข้าบ้านตระกูลจิน พ่อของจินบูยอนและจินโชยอน ปัจจุบันไปตามหาจินบูยอนลูกสาวที่หายสาบสูญไป
ตระกูลพัค ตระกูลที่ดูแลซงริม ธุรกิจขนาดใหญ่ของอาณาจักรแดโฮ ที่ประกอบด้วยจองจินกัก หรือสถานศึกษาเวทมนตร์ และเซจุกวอน สำนักแพทย์
พัคดังกู ทายาทผู้สืบทอดซงริมต่อจาก พัคจิน ผู้เป็นอา ศึกษาเวทย์ในจองจินกักแห่งซงริมเช่นเดียวกับซอยูลที่เป็นเพื่อน
พัคจิน ผู้นำของซงริมคนปัจจุบัน มีศักดิ์เป็นอาของ พัคดังกู รู้ความลับเรื่องชาติกำเนิดของจางอุค
นอกจากตระกูลใหญ่ทั้งสี่ตระกูลแล้ว ยังมีตัวละครอื่นๆ อีกมายมาย ได้แก่
ราชวงศ์
โกวอน รัชทายาทของอาณาจักรแดโฮ เป็นลูกพี่ลูกน้องของซอยูล
โกซุน กษัตริย์องค์ปัจจุบันของอาณาจักแดโฮ เป็นน้องชายของกษัตริย์องค์ก่อนหน้า
ซอฮาซอน มเหสีของกษัตริย์องค์ปัจจุบัน มีศักดิ์เป็นป้าของ ซอยูล แห่งตระกูลซอ
โกซอง กษัตริย์องค์ก่อนหน้า ที่แปรวิญญาณกับ จางกัง ชั่วขณะหนึ่ง
จินมู รองผู้นำแห่งชอนบูกวัน เป็นหนึ่งในตระกูลจินที่ไม่ได้รับการยอมรับ โดยเป็นพี่น้องต่างแม่ของจินโฮกยอง ผู้นำของจินโยวอน
ขันทีคิม ขันทีของราชินี ซอฮาซอน เป็นผู้แปรวิญญาณโดย จินมู ไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังว่าเป็นใคร และแปรวิญญาณไปเพื่ออะไร
อาจารย์อีในชุดใยป่าน จอมเวทย์ผู้เชี่ยวชาญวิชาเวทย์ระดับฮวันซู ซึ่งเป็นระดับสูงสุด และเชี่ยวชาญในการการฝึกเวทมนตร์โดยงดความใคร่ทางเพศ เป็นอาจารย์ของ ฮอยอม อีกทั้งยังเป็นลูกศิษย์สายตรงของอาจารย์ ซอกยอง ผู้ก่อตั้งจองจินกักแห่งซงริม
อาจารย์ซอกยอง เป็นผู้ก่อตั้งจองจินกักแห่งซงริม เชี่ยวชาญเวทย์ขั้นฮวันซูหรือระดับสูงสุด เป็นผู้หยุดสงครามอันเลวร้ายจากหินนํ้าแข็งเมื่อ 200 ปีก่อน ที่นองเลือดเหล่าจอมเวทย์แห่งอาณาจักรแดโฮ เป็นอาจารย์ของอาจารย์อีในชุดใยป่าน ปัจจุบันไม่ทราบแน่ชัดว่ายังมีชีวิตหรือไม่
จูวอล ผู้ดูแลหอชวีซอนรู หรือหอกิแซงของอาณาจักรแดโฮ คอยช่วยเหลือมูด็อกอยู่เสมอ
ทั้งหมดคือตัวละครที่มีการเปิดเผยและมีการกล่าวถึงทั้งหมดจนถึง EP.8 โดยอาจจะมีตัวละครใหม่เพิ่มเติมได้ในตอนต่อๆ ไป
Alchemy of Souls EP.9-10 จดหมายรักที่โง่เขลาและน่าเวทนา
Alchemy of Souls EP.9-10 ที่เรื่องราวเดินทางมาถึงตอนกลางของทั้งหมด 20 อีพี ปมบางอย่างได้รับการเปิดเผยอย่างที่ทุกคนคาดเดาว่า จินบูยอน ก็คือมูด็อกนั่นเอง ซึ่งเป็นการเปิดเผยปมที่ขยายเรื่องราวไปถึงตัวบูยอนเอง พลังยิ่งใหญ่ที่เธอมีตั้งแต่เด็กๆ รวมไปถึงผู้อำนวยการหญิงตาบอดของจินโยวอนที่เป็นความลับในหัวใจของอาจารย์ซอกยอง
ทำให้ในตอนนี้ซีรีส์ได้เปิดประตูไปสู่ชิ้นส่วนต่อขยายมากมาย และไม่น่าแปลกใจที่จะมีการประกาศสร้างพาร์ต 2 ตามมาอีก 10 อีพี โดยย้อนกลับไปให้ โกยุนจอง (รับบทเป็น นักซู) มาแสดงนำร่วมกับนักแสดงคนอื่นๆ ที่ยังคงเดิม
และแม้จะเป็นช่วงเวลาของการเล่าถึงพัฒนาการอย่างก้าวกระโดดของจางอุคหลังเข้าสู่ซงริมได้ไม่นาน แต่ซีรีส์ได้อุทิศสองอีพีนี้ให้กับ ‘ความลับของความรัก’ ที่เกิดขึ้นในดินแดนแดโฮ โดยเฉพาะประเด็นจดหมายรักของท่านอาจารย์ซอกยองที่ส่งไปไม่ถึงมือผู้รับ และกลายเป็น ‘ตำราแห่งหัวใจ’ คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของจินวอนกักที่น้อยคนนักจะล่วงรู้ความหมายแฝงข้างใน และถ่ายทอดความรู้สึกรักได้อย่างแสนเศร้าอย่างที่ความตอนหนึ่งว่าไว้
“แม้มิอาจกำหยาดนํ้า แต่ทว่าดินได้บรรจุมันไว้
แม้ไม่สามารถสัมผัสไฟได้ ทว่าขอนไม้ได้โอบอุ้มมันไว้
แม้ไม่อาจกุมสายลม ทว่ามันได้หยุดพักเหมือนก้อนหิน…
“…ข้าก็เป็นเพียงคนโง่เขลาที่มิอาจหลั่งหยดนํ้าตาให้ไหลออกมา”
จดหมายรักจากยูลถึงมูด็อก
นกหวีดที่เป็นของแทนตัวซอยุล เมื่อครั้งบังเอิญรู้จักกับนักซูในช่วงที่ยังเป็นเด็ก กลายมาเป็นของสำคัญของนักซูที่เก็บไว้ข้างกายจนนาทีสุดท้ายของชีวิต มันกลับไปอยู่ในมือของซอยุลอีกครั้ง เพื่อเป็นตัวแทนความรู้สึกถึงรักแรกที่ไม่อาจลืม
เมื่อซอยุลรู้ว่ามูด็อกคือนักซูที่เคยเป็นรักแรก เขาก็ได้แต่สับสนกับความรู้สึกของตัวเองว่าควรจะก้าวข้ามความถูกต้องที่ยึดถือมาตลอด หรือผ่อนปรนมันบ้างเพื่อเพื่อนสนิท-ผู้หญิงคนแรกที่เขารักหรือไม่ ดังนั้นการที่ซอยุลจะหวงแหนมูด็อกจึงเป็นความรู้สึกที่สุดท้ายเขาก็ไม่อาจหักห้ามหัวใจ
ซอยุลแสดงท่าทีเป็นห่วงมูด็อกอย่างชัดเจน โดยเฉพาะใน EP.9 เขาเป็นห่วงมูด็อกที่เฝ้าอยู่หน้าประตูซงริม และได้มอบ ‘ร่ม’ ให้กับมูด็อกเพื่อที่เธอจะได้ใช้บังแดดบังฝน ความหมายเดียวกับความรู้สึกในใจของเขาที่ต้องการเป็นผู้ปกป้องมูด็อกในเวลาที่เธอลำบาก ร่มสำหรับซอยุลจึงทำหน้าที่เสมือนจดหมายรักที่แสดงออกถึงความห่วงใยให้นักซูในร่างมูด็อกนั่นเอง
นั่นไม่ใช่เพียงครั้งเดียวที่ซอยุลแสดงออกถึงความหวงแหนนี้ เพราะเหตุการณ์ก่อนหน้า ไม่ว่าจะเป็นซอยุลที่ไปแจ้งข่าวด้วยความเป็นห่วงว่ามูด็อกจะไม่ได้เจอกับจางอุคไปอีกนาน หรือจะเป็นการช่วยหาคำตอบในข้อสอบเพื่อที่มูด็อกจะผ่านการสอบเข้าซงริม แต่จากที่มูด็อกได้บอกกับเขาว่าร่มหายไปแล้ว จึงชัดเจนว่า ‘ร่ม’ ที่เป็นจดหมายรักแทนความเป็นห่วงของซอยุลนั้นส่งไปไม่ถึงมูด็อกนั่นเอง
จดหมายรักจากรัชทายาทถึงมูด็อก
ถ้าจะให้นิยาม รัชทายาทโกวอน ต้องยกให้เป็นหนุ่มซึนเดเระแห่งอาณาจักรแดโฮ เราจะเห็นว่าถึงแม้รัชทายาทจะคีปลุครัชทายาทอย่างไร ก็ดูเหมือนจะเพลี่ยงพลํ้าให้กับอึมูด็อกอยู่เสมอ
ใน EP.9 รัชทายาทที่ถามถึงถุงหอมของตน และเพียงแค่มูด็อกยังเก็บเอาไว้กับตัวเองอยู่ ก็ทำให้องค์รัชทายาทอมยิ้มได้ ส่วนใน EP.10 เพียงแค่ได้ยินชื่อ ‘มูด็อก’ ตัวเขาถึงกับมานั่งทำข้อสอบกับซอยุลและพัคดังกู อีกทั้งยังเอาข้อสอบไปส่งให้กับตัวอีก และความที่ปากอาจจะไม่ตรงกับใจ ถึงแม้จะสนใจและอยากเจอแค่ไหนก็ตาม การที่องค์รัชทายาทยังไม่ได้แสดงความรู้สึกของตนออกไปตรงๆ ก็ทำให้จดหมายรักส่งไปไม่ถึงมูด็อกอีกเช่นกัน
แต่อย่างไรก็ดี ความสัมพันธ์ที่เริ่มต้นจากข้อผิดพลาด จากอึ มาสู่อึมูด็อก และทำให้รัชทายาทที่เคยยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกลับมาเป็นมิตรสหายกันได้ ก็นับว่าแม้จดหมายรักส่งไปไม่ถึงมูด็อก แต่ทั้งคู่ก็มีความรู้สึกและสายสัมพันธ์ที่ดีให้แก่กัน น่าสนใจว่าในช่วงท้ายของเรื่องราวทั้งสองคนอาจต้องเผชิญหน้ากันด้วยความรู้สึกที่แตกต่างออกไป และถึงเวลานั้นพวกเขาจะเลือกรักษาความรู้สึกเป็นมิตรนี้ไว้ หรือเข้าห้ำหั่นกันด้วยหน้าที่ที่ต่างคนมีอยู่
จดหมายรักจากมูด็อกถึงจางอุค
มูด็อก หญิงรับใช้คนสนิทของจางอุค ไม่ได้รับอนุญาตเข้าไปรับใช้นายน้อยในซงริม ตามกฎระเบียบของสำนักจองจินกัก และเมื่อหมดสิ้นหนทางในการไปอยู่ข้างๆ นักซูในร่างมูด็อกก็ยอมเลือกเส้นทางที่แสนต่ำต้อยด้วยการสอบแข่งขันเข้าเป็นคนรับใช้ในซงริม จนเกิดเป็นฉากยิ้มทั้งน้ำตาระหว่างคนทั้งคู่
มูด็อกเอาใบรับสมัครเข้าซงริมมัดกับก้อนหิน แล้วโยนไปให้จางอุคที่อยู่ในเรือ และบอกให้เขารอ เธอจะทำในสิ่งที่ทำได้ตอนนี้ เช่นเดียวกับเขาควรจะทำสิ่งที่ทำตอนนี้ให้ดีที่สุด ความรู้สึกลึกซึ้งนี้ทำให้ใบรับสมัครคนรับใช้ซงริมกลายเป็นเหมือนจดหมายรักจากมูด็อกที่บอกว่า ‘คิดถึง’ และ ‘ขอแค่ได้เห็นหน้า ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็จะไปหา’
ส่วนจางอุคเองก็เอ่อล้นด้วยความรู้สึกคิดถึง โหยหา หวงแหน ด้วยการหาหนทางให้ได้พบหน้า ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ไม่ต่างกับมูด็อกอย่างที่เขาบอกว่า ‘ถ้าถ่ายทอดความรู้สึกได้ นั่นต่างหากคือจดหมาย’
และถึงแม้ความรู้สึกที่จางอุคตอบกลับมาว่า ‘คิดถึงเหมือนกัน’ จะตรงกับความรู้สึกของเธอก็ตาม แต่นั่นเป็นจดหมายรักที่ไม่ควรส่งไปตั้งแต่แรก เพราะเธอรู้อยู่แก่ใจว่าความรู้สึกนี้ก็เป็นไปไม่ได้สำหรับผู้แปรวิญญาณ
ความรู้สึกรักที่จางอุครับรู้ได้ สำหรับมูด็อกกลับเป็นจดหมายรักที่ช่างโง่เขลา ความน่าเวทนาในชะตากรรม และการยอมปล่อยให้ความรู้สึกไปไกลจนยากจะกลับคืน
จดหมายรักของอาจารย์ซอกยองถึงจินซอลรัน
ตำราแห่งหัวใจของ อาจารย์ซอกยอง ถูกอ่านโดยเหล่าจอมเวทย์แห่งจองจินกักมานับสองร้อยปี แต่ไม่มีใครที่ล่วงรู้ได้เลยว่านี่คือจดหมายรักของอาจารย์ซอกยองที่เขียนแบบให้มองไม่เห็นถึงหญิงตาบอดอันเป็นที่รัก จินซอลรัน ผู้อำนวยการคนแรกของจินโยวอน เพื่อที่เธอจะสามารถใช้พลังอ่านได้ แม้ท้ายที่สุดจดหมายนี้จะไม่ได้ถูกส่งต่อไปถึงหญิงอันเป็นที่รักก็ตาม
โดยเนื้อหาของจดหมายรักนี้ ถึงจะเป็นเรื่องราวของอาจารย์ซอกยองกับจินซอลรัน แต่ก็สื่อถึงความสัมพันธ์ที่เป็นไปไม่ได้ระหว่างนักซูในร่างมูด็อกกับจางอุคเช่นกัน
“แม้มิอาจกำหยาดนํ้า แต่ทว่าดินได้บรรจุมันไว้
แม้ไม่สามารถสัมผัสไฟได้ ทว่าขอนไม้ได้โอบอุ้มมันไว้
แม้ไม่อาจกุมสายลม ทว่ามันได้หยุดพักเหมือนก้อนหิน
“หากปล่อยไปตามทางของมัน พวกมันก็ล้วนอยู่ทุกหนแห่ง
แสงสีครามที่ส่องสะท้อนแสบตา ทำให้ข้าได้ถอนหายใจออกมา
“ไอของลมที่หายใจสีขาวที่พ่นออกมาออกมา ได้กระจัดกระจายราวหิมะและเหลือค้างเป็นนํ้าตา
ข้ามิอาจปล่อยให้มันไหลและปกปิดมันไว้ แม้รู้ทั้งรู้ว่ามันจะถูกเติมเต็มอีกครั้ง
แต่ข้าก็เป็นเพียงคนโง่เขลาที่มิอาจหลั่งหยดนํ้าตาให้ไหลออกมา”
แสงสีครามที่สะท้อนแสบตานั่นก็คือรอยของผู้แปรวิญญาณ ที่สะท้อนออกมาให้จางอุคได้เห็น และเมื่อนึกถึงความจริงนี้ ก็ทำให้เขาถอนหายใจว่าสักวันนักซูในร่างมูด็อกอาจจะต้องไปจากเขา จุดสิ้นสุดของศิษย์-อาจารย์ที่ต่างไม่อาจก้าวไปบนเส้นทางเดินเดียวกัน
จากเรื่องราวใน Alchemy of Souls EP.10 ทำให้เราเห็นจุดร่วมบางอย่างระหว่างอาจารย์ซอกยอง กับจินซอลรัน และคู่ของจางอุคกับมูด็อก นั่นก็เพราะมูด็อกคือจินบูยอนที่ตาบอดเช่นเดียวกับจินซอลรัน อีกทั้งยังเป็นคนในตระกูลจินเหมือนกันอีกด้วย และชื่อจินซอลรัน ที่แปลว่า กล้วยไม้ที่ผลิบานในหิมะสีขาว ซึ่งหิมะสีขาวก็ตรงกับการอธิบายตัวละครจางอุคแห่งตระกูลจางที่เป็นตัวแทนของหิมะสีขาวในฤดูหนาว
นี่เป็นสิ่งที่ต้องติดตามกันต่อไปว่าจางอุคที่เกิดมาพร้อมพลังจากดาวกษัตริย์ และมูด็อก หรือจินบูยอน อาจเป็นบุคคลสำคัญที่มาช่วยหยุดเหตุการณ์วุ่นวายของหินนํ้าแข็ง เช่นที่เคยเกิดสงครามของเหล่าจอมเวทย์เมื่อ 200 ปีก่อน ซึ่งอาจารย์ซอกยองกับจินซอลรันได้หยุดเหตุการณ์เลวร้ายนั้น และเก็บรักษาหินนํ้าแข็งเอาไว้ได้
อีกทั้งเรื่องราวความรักของทั้งสองจะลงเอยเช่นเดียวกับตำราแห่งหัวใจที่น่าเศร้าเหมือนกันหรือไม่ หรือนี่อาจจะเป็นโอกาสในการแก้ไขเรื่องราวความรักที่ไม่สมหวังของอาจารย์ซอกยองกับจินซอลรันอีกครั้ง
Alchemy of Souls EP.11-12 เพราะอำนาจเท่านั้นจึงจะอยู่ยั้งยืนยง?
Alchemy of Souls EP.11-12 นอกจากสูตรลัดประลอง 10 วัน 10 วิชาของมูด็อกที่เดิมพันสูงมอบให้กับจางอุคแล้ว ได้มีการเปิดเผยเรื่องราวบางอย่างที่ช่วยคลายข้อสงสัยให้กับผู้ชม ทั้งชะตาของดาวกษัตริย์ที่ไม่ใช่การเป็นกษัตริย์ที่แท้จริง แต่เป็นการยับยั้งเหตุโกลาหล เหมือนกับอาจารย์ซอกยองที่เกิดมาพร้อมดาวกษัตริย์เช่นกัน
รวมถึงแผนการของจินมูที่เอาวิชาแปรวิญญาณเพื่อความเป็นนิรันดร์ เอาชนะชะตาที่เป็นไปไม่ได้เพื่อไปสู่อำนาจที่ยิ่งใหญ่
จินมู กับการไปสู่อำนาจที่ยิ่งใหญ่
จินมูกับการเกิดมาเป็นน้องคนละแม่ของจินโฮกยอง ผู้ปกครองตระกูลจิน และเนื่องจากตระกูลจินสืบเชื้อสายจากผู้หญิง แน่นอนว่าพ่อของเขาไม่ใช่คนในตระกูลจิน เรียกง่ายๆ ว่ามีเพียงนามสกุลเท่านั้นที่บอกว่าเขาคือคนในตระกูลจินนั้นเอง นี่ถือเป็นบาดแผลและความน้อยเนื้อตํ่าใจของจินมูที่เกิดมาไม่ได้การยอมรับจากพี่สาว อีกทั้งยังถูกไล่ออกจากตระกูลจนต้องไปอาศัยตระกูลจางเพื่อเรียนรู้วิชาเวทย์ รวมถึงวิชาแปรวิญญาณ
การไม่ได้รับการยอมรับและการถูกเหยียดหยามจากครอบครัว เพียงแค่เพราะเขาไม่มีอำนาจ ดังนั้นจินมูจึงต้องมีอำนาจเป็นของตัวเองขึ้นมา และหนทางนั้นคือการใช้พลังจาก ‘หินนํ้าแข็ง’ และวิชา ‘แปรวิญญาณ’
พลังของอำนาจยังเย้ายวนให้ตระกูลชเวที่ถูกกำจัดไปหลังจากเหตุการณ์โกลาหลเมื่อสองร้อยปีก่อนหาทางกลับสู่อำนาจ และการกลับมาของตระกูลชเวก็ใช้พลังจากหินนํ้าแข็งเช่นกัน โดยใน EP.12 ได้มีการเปิดเผยถึงตัวจริงของมเหสีว่าเป็นเพียงแม่หมอผู้ตํ่าต้อยจากตระกูลชเวที่แปรวิญญาณมาเพื่อที่จะรอการเรืองอำนาจของตระกูลอีกครั้ง
“พลังที่ไม่ได้ถูกมอบให้กับมนุษย์ ไม่ว่าใครต้องการก็ไม่สามารถจะครอบครองได้ ก็คือพลังที่จะหลุดพ้นจากร่างที่ไม่ต้องการ”
และนี่คือสิ่งที่ผงขับวิญญาณทำได้ และจินมูใช้ความโลภของมนุษย์ที่ต้องการเอาชนะชะตาที่เป็นไปไม่ได้ หรือก็คือความเป็นอมตะในการรวบรวมอำนาจ ทำให้ผู้คนเห็นดีเห็นงามกับการแปรวิญญาณ และสร้างโลกใบใหม่ที่มีพลังของหินนํ้าแข็งเป็นใหญ่ แผ่นดินที่มนุษย์จะเอาชนะความตายเป็นนิรันดร์ และอำนาจของเขาจะคงอยู่ตลอดไปเช่นกัน
การที่เขาจะเผยพลังของหินนํ้าแข็งนี้ให้ไวยิ่งขึ้นคงจะต้องอาศัยตระกูลจิน หนึ่งในตระกูลจอมเวทย์ที่ยิ่งใหญ่ นอกจากสามีของจินโฮกยองที่อาจจะเป็นผู้แปรวิญญาณจากตระกูลชเวแล้ว จินมูยังสร้างจินบูยอนตัวปลอม เพื่อที่จะหลอกให้จินโฮกยองมาแปรวิญญาณ และจะสามารถควบคุมจินโยวอนได้ ถ้าแผนการนี้สำเร็จ การเผยพลังของหินนํ้าแข็งจะไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขาอีกต่อไป
พลังของหินนํ้าแข็ง กับชะตาที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง
หินนํ้าแข็งมีพลังทำให้ผู้แปรวิญญาณควบคุมตัวเองได้ และผงขับวิญญาณที่เกิดจากหินนํ้าแข็งซึ่งนำมาใช้ในการแปรวิญญาณสามารถเรียกวิญญาณของคนที่ตายกลับมา และสามารถสลับวิญญาณของคนได้อีกด้วย อย่างที่อาจารย์อีบอกใน EP.11ว่า “พลังของหินนํ้าแข็งไม่ได้เลวร้าย แต่ผงขับวิญญาณที่ทำมาจากมันถูกนำมาใช้ในทางชั่วร้ายต่างหาก”
ดังนั้นถ้าจะยับยั้งพลังอันยิ่งใหญ่ของหินนํ้าแข็ง ก็คงต้องใช้หินนํ้าแข็งเองนี่แหละจัดการให้สิ้นไป
จางอุคที่เกิดมาพร้อมพลังจากดาวกษัตริย์ เป็นเด็กที่เกิดมาจากการแปรวิญญาณด้วยพลังของหินนํ้าแข็งระหว่าง จางคัง และกษัตริย์องค์ก่อน และเนื่องจากวิชาแปรวิญญาณเป็นเวทย์ดำและเป็นสิ่งต้องห้ามในดินแดนนี้ ดังนั้นจางอุคจึงเป็นคนที่ไม่ควรเกิดมาบนโลกนี้
มูด็อก หรือจินบูยอน เด็กที่เกิดมาหลังจากอุ้มท้องไป 13 เดือน ซึ่งแน่นอนว่าเธอน่าจะตายไปตั้งแต่อยู่ในท้องแล้วนั่นเอง แต่ด้วยพลังของหินนํ้าแข็ง ทำให้จากคนที่ตายแล้วกลับฟื้นคืนชีพ ซึ่งอาจจะคาดเดาได้ว่าจินบูยอนมีพลังมาจากหินนํ้าแข็งอยู่ ที่นักซูที่แปรวิญญาณมาถึงยังสามารถควบคุมตัวเอง ก็น่าจะมาจากพลังของหินนํ้าแข็งที่คอยควบคุมเอาไว้
เพราะหินนํ้าแข็ง มูด็อกและนักซูจึงต่างจากผู้แปรวิญญาณอื่นๆ ด้วยวิญญาณของทั้งสองนั้นอยู่ในร่างเดียวกัน อีกทั้งในฉากจบของ EP.12 มูด็อกที่ดูดพลังของขันทีคิมเกิดเป็นแสงสีฟ้า ซึ่งแตกต่างจากผู้แปรวิญญาณตนอื่นๆ ที่จะเป็นสีดำ นี่อาจจะไม่ใช่การดูดพลังมนุษย์ปกติก็ได้ แต่อาจจะเป็นพลังบางอย่างของหินนํ้าแข็งที่ต้องรอการเฉลยต่อไป
การเกิดของ ‘คนที่ไม่ควรเกิดมาบนโลกนี้’ อย่างจางอุค กับ ‘คนที่ควรจะตายไปแล้ว’ อย่างมูด็อก ที่ขัดกับธรรมชาติและต่างอยู่รอดได้จากพลังของหินนํ้าแข็ง หรือนี่จะเป็นการบอกใบ้ว่าการมีอยู่ของทั้งสองอาจเป็นชะตาที่ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ ถึงแม้ว่าใครจะพยายามยับยั้งมันไว้ก็ตาม
หยกหยินหยางต้องอยู่คู่กันถึงจะมีค่า
Alchemy of Souls พยายามบอกใบ้เราเกี่ยวกับของสองสิ่งที่มีค่าเมื่ออยู่ร่วมกัน เหมือนกับกลอนของอาจารย์ซอกยองที่ได้กล่าวไว้ใน EP.10 ทั้งนํ้าและดิน ไฟและขอนไม้ ลมและก้อนหิน ซึ่งในสองอีพีล่าสุดได้หยิบหยกหยินหยางที่จะมีค่าเมื่อมีคู่ของมัน ซึ่งความหมายของมันก็คือ ‘ความสมดุล’ นั่นเอง
ลัทธิเต๋าเชื่อว่าทุกสิ่งที่ขั้วตรงข้ามกันต้องมีสิ่งที่เป็นคู่กัน โดยสองสิ่งจะไม่สามารถขาดกันได้ ถ้าขาดสิ่งใดไปก็จะขาดความสมดุลในธรรมชาติ เมื่อมีพระอาทิตย์ก็ต้องมีพระจันทร์ มีผู้ชายก็ต้องมีผู้หญิง มีศิษย์ก็ย่อมมีครู มีจางอุคก็ต้องมีมูด็อก เมื่อทั้งสองอยู่ร่วมกันก็จะเติมเต็มกันและกัน และเป็นความพอดี ไม่มีอะไรมากหรือน้อยเกินไป ซึ่งจะทำให้ทั้งสองเติบโตไปข้างหน้า
จากนี้เพียงรอเวลาที่ทั้งมูด็อกและจางอุคจะรับรู้ถึงชะตาของตน เติบโต และอยู่เคียงข้างกันเป็นสมดุล เพื่อที่จะสามารถยับยั้งเหตุการณ์โกลาหลของเหล่าจอมเวทย์จากหินนํ้าแข็งที่อาจจะเกิดขึ้นอีกครั้ง เหมือนกับที่อาจารย์ซอกยองและจินซอลรันได้เคยหยุดยั้งเอาไว้เมื่อ 200 ปีก่อน
Alchemy of Souls EP.13-14 เรียนรู้ลำดับขั้นวิชาเวทย์แห่งอาณาจักรแดโฮ
ดูซีรีส์ Alchemy of Souls มาจนถึง EP.13-14 แต่เราก็อาจจะยังสับสนกับลำดับขั้นวิชาเวทย์จนงงไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้น ดูซีรีส์ให้ซีเรียส จึงจดลิสต์ออกมาเพื่อช่วยให้เพื่อนๆ ดูซีรีส์ได้เข้าใจขึ้น ลุ้นยิ่งขึ้น ว่าใครเก่งสายเวทย์ขนาดไหน และสุดท้ายแล้วนายน้อยจางอุคจะใช้เวลาอีกกี่มากน้อย กว่าจะเดินทางไปสู่จุดสูงสุดขั้นฮวันซู
เรื่องราวในซีรีส์ Alchemy of Souls สองอีพีล่าสุด อยู่ที่การประลองระหว่างจางอุคกับ 10 จอมเวทย์ ตามคำท้าและรางวัลจากชัยชนะที่มูด็อกเอาหินหยินหยางที่จางอุคให้ไว้แทนใจไปเป็นเดิมพันกับองค์รัชทายาท และแม้จะมีเรื่องราวให้ต้องแก้ปัญหามากมายระหว่างนั้น แต่จางอุคที่ดูเป็นนายน้อยที่ไม่ธุระกับการฝึกฝน กลับพัฒนาฝีมือได้อย่างรวดเร็วด้วยการเรียนจากนักเวทย์ที่มาประลองกับเขา
และก้าวกระโดดสำคัญคือการได้ลงเรียนพิเศษกับอาจารย์อี จนทำให้จางอุคที่เคยผ่านขั้นรยูซูท่ามกลางความตกตะลึงของคนทั้งจินจองกักมาแล้วกระโดดข้ามไปอีกขั้น กับการเรียนเพียงไม่กี่วัน เขาก็ผ่านขั้นชีซูที่จอมเวทย์แทบทั้งอาณาจักรต้องใช้เวลาเป็นสิบๆ ปีกว่าจะผ่านไปได้
อย่างท่านพัคจิน ผู้อำนวยการซงริม ยังเล่าให้อาจารย์อีฟังว่าตัวเขาเองนั้นต้องใช้เวลา 3 ปีเพื่อพลังฟ้า 3 ปีเพื่อพลังดิน และอีก 4 ปีเพื่อพลังหมุนเวียน รวมเป็น 10 ปีกว่าที่เขาจะผ่านขั้นชีซู ซึ่งนับว่าตัวเขานั้นเป็นคนที่ผ่านขั้นชีซูได้เร็วกว่าคนอื่นๆ แล้ว
การฝึกฝนทางลัดของอาจารย์อีที่มีให้กับจางอุคคือการชวนไปตกปลาทองคำที่ทะเลสาบคยองชอนแดโฮ นี่คือเคล็ดวิชาที่ทำให้เขาเข้าใจการควบคุมพลังขั้นสูง
“พลังของข้าจะไหลเวียนไปตามไม้ไผ่นี้ และเป็นเหยื่อล่อในการตกปลาทองคำ
...เราแค่ควบคุมพลังของทะเลสาบคยองชอนแดโฮ และรอให้ปลามากินเบ็ด”
จริงๆ แล้วปลาทองคำนั้นเป็นเพียงก้อนหยดน้ำที่ก่อเกิดจากพลังของทะเลสาบคยองชอนแดโฮ เพราะอย่างนั้นจึงมีเพียงจอมเวทย์ที่ผ่านขั้นชีซู ที่ควบคุมพลังน้ำภายนอกร่างกาย และจับปลาทองคำได้
และถ้าอ้างอิงจากคำบอกเล่าของอาจารย์อีใน Alchemy of Souls EP.13 ก็พอจะทำให้เราเข้าใจหลักการใช้พลังของจอมเวทย์ในแต่ละขั้น ที่ยิ่งใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ
ลำดับขั้นวิชาเวทย์แห่งอาณาจักรแดโฮ
ขั้นจิบซู
– การรวบรวมพลังน้ำในร่างกาย
– จอมเวทย์แต่ละคนมีการควบคุมพลังด้วยจังหวะการหายใจเข้า-ออกที่แตกต่างกันไป การจับจังหวะหายใจได้ ต้องสัมผัสการไหลเวียนพลังในร่างกายของเขานั้นๆ ถ้ายังจำกันได้ จางอุคได้รับพลังจากท่านหมอฮอยอม จึงได้ทั้งเปิดประตูที่กักกั้นพลังของเขาเอาไว้ และมีทุนสำรองเป็นพลังของท่านหมออีกด้วย
– ผู้ที่อยู่ในลำดับขั้นนี้: นักเรียนวิชาเวทย์จองจินกักมือใหม่
ขั้นรยูซู
– การรวบรวมพลังการไหลเวียนของน้ำ
– ในระดับรยูซูจะสามารถดึงดาบเวทย์ออกจากฝักได้
– ปกติใช้เวลาในการฝึกฝนหลายปี แต่จางอุคฝึกเดี่ยว และผ่านได้อย่างรวดเร็ว
– ผู้ที่อยู่ในลำดับขั้นนี้: ดงกู และองค์รัชทายาทที่ใกล้ผ่านขั้นรยูซูแล้วเช่นกัน
ขั้นชีซู
– การควบคุมพลังที่อยู่ในบรรยากาศ
– อาจารย์อีสอนทางลัดให้กับจางอุค ด้วยการพาไปตกปลาทองคำในทะเลสาบคยองชอนแดโฮ
– จะเห็นว่าในการประลองกับซอยุล จางอุคใช้พลังควบคุมน้ำที่อยู่ในบรรยากาศให้กลายมาเป็นพลังในการต่อสู้
– มีเพียงไม่กี่คนในอาณาจักรแดโฮที่พลังเวทย์อยู่ในขั้นชีซู ที่ต้องฝึกฝนนับสิบปี
– ผู้ที่อยู่ในลำดับขั้นนี้: พัคจิน, จางอุค, ซอยุล
ขั้นฮวันซู
– ระดับพลังเวทย์สูงสุด เทียบเท่าหินน้ำแข็ง
– สามารถเปลี่ยนน้ำให้กลายเป็นไฟได้ ในทางกลับกัน เปลี่ยนไฟให้กลายเป็นน้ำได้ด้วย
– สามารถแปรวิญญาณได้
– ผู้ที่อยู่ในลำดับขั้นนี้: อาจารย์ซอกยอง, อาจารย์อี, จางกัง, บูยอน คาดเดาจากการใช้พลังจากหินน้ำแข็งได้ตั้งแต่ยังเด็ก ฉากในทะเลสาบคยองชอนแดโฮ
Alchemy of Souls EP.15-16 ความกลัวที่ผลักดันเราไปข้างหน้า
Alchemy of Souls EP.15-16 เรียกได้ว่าเป็นช่วงคลื่นลมสงบก่อนที่ซีรีส์จะพุ่งทะยานไปสู่จุดพีคใน 4 อีพีสุดท้าย เรื่องราวได้มีการเปิดเผยปมต่างๆ ไปค่อนข้างมากจนพอจะคาดเดาความเป็นไปได้ ซึ่งสุดท้ายก็แล้วแต่ทีมสร้างว่าจะนำพาเรื่องราวไปสู่จุดไหน เพื่อเชื่อมต่อไปยัง Alchemy of Souls 2 ที่มีแผนว่าจะออกอากาศในครึ่งแรกของปี 2023
ประเด็นหนึ่งที่ Alchemy of Souls พูดถึงผ่านตัวละครต่างๆ ก็คือ ‘ความกลัว’ ที่แตกต่างไปในสถานะของแต่ละคน ทั้งจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ ไปจนถึงนายน้อยจอมเสเพล หรือนักฆ่าที่สิ้นลายเป็นสาวรับใช้
มันเป็นความกลัวแบบไหนที่ผลักดันพวกเขาไปยืนอยู่บนหน้าผา และลองเสี่ยงเพื่อท้าทายว่าชีวิตจะพุ่งขึ้นไปได้ถึงจุดไหนกันแน่
จินมู กลัวไม่ได้รับการยอมรับ กลัวการไม่ได้ครอบครองอำนาจ
– จินมู รองหัวหน้าของชอนบุกวานที่ขึ้นมาทำหน้าที่แทนจางกัง หัวหน้าสำนักที่หายสาบสูญไปเกือบ 20 ปี
– โดยชาติกำเนิด เขาเป็นลูกชายของตระกูลจินที่เกิดนอกสมรส จึงไม่ได้รับการยอมรับจากญาติในตระกูลสายตรงมากนัก สิ่งนี้เป็นเหมือนบาดแผลและคำสบประมาทบางอย่างที่ทำให้เขาดิ้นรนเพื่อขึ้นไปให้พ้นการเป็นลูกนอกสมรส
– เพื่อขึ้นสู่อำนาจที่ยิ่งใหญ่ เขาใช้ความกลัวผลักดันตัวเอง ขณะเดียวกันก็ใช้ความกลัวเป็นตัวทำลายคนอื่น บีบบังคับคนอื่นให้ทำตาม ด้วยแต้มต่อที่เขามีวิชาแปรวิญญาณในการเปลี่ยนอนาคตของใครก็ได้
มูด็อก กลัวความรู้สึกตัวเองที่อ่อนแอและอ่อนไหว
– มือสังหารเงา ผู้หญิงที่ถูกมูจินเลี้ยงดูมาอย่างขาดวิ่น และต้องดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอด
– เธอถูกปลูกฝังให้รู้เพียงว่าครอบครัวโดนสี่ตระกูลจอมเวทย์ทำลายจนสิ้นซาก
– หมุดหมายในชีวิตคือการแก้แค้น เป็นเพียงอย่างเดียวที่เธอยึดถือมาตลอด นั่นทำให้ความรู้สึกส่วนตัว ความอ่อนโยนที่ได้รับ ทั้งจากซอยูลในวัยเด็ก และจางอุคในวัยสาว เธอต่างพยายามต่อสู้และปฏิเสธมัน
– การที่มือสังหารเงาแปรวิญญาณเข้าในร่างของหญิงตาบอดที่ชื่อมูด็อก ก็เป็นความกลัวอย่างที่สุด เมื่อเธอรู้ว่าตัวเองสูญเสียความสามารถทั้งหมดไปแล้ว และภายในร่างนี้ เธอแทบทำอะไรไม่ได้เลย
– ความรู้สึกที่มีให้จางอุคที่เพิ่มขึ้นทุกวันๆ ทำให้มูด็อกกลัวตัวเองว่ากำลังพลาดให้กับความอ่อนไหวในจิตใจที่เธอไม่เคยเรียนรู้มันมาก่อน และขึ้นชื่อว่าความรัก มันยากเสมอ
จางอุค กลัวการไม่ได้อยู่กับมูด็อก
– จางอุคเคยพูดเอาไว้ว่า “ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่เคยมีใครรับรู้ความสิ้นหวังที่ข้ามี ไม่เคยมีใครเสี่ยงชีวิตให้ข้าได้อย่างที่เจ้าทำ”
– การที่จางอุคได้พบกับมูด็อก คนที่ยอมเป็นอาจารย์ให้ ในขณะที่จอมเวทย์ทั้งอาณาจักรไม่กล้า รวมถึงการพัฒนาขีดจำกัดของจางอุคให้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ ผ่านการเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ก็ทำให้จางอุครักในตัวของมูด็อกในแบบที่ลึกซึ้งเกินกว่านิยามความสัมพันธ์รูปแบบไหนๆ และการที่ในวันหนึ่งมูด็อกจะไม่ได้อยู่ข้างกายเขา ก็คงเป็นเรื่องเศร้าเกินกว่าที่จางอุคจะยอมรับ
– ความกลัวที่จะไม่ได้อยู่ด้วยกัน กำลังเป็นพลังอย่างหนึ่งที่ส่งให้จางอุคเป็นจอมเวทย์ที่แข็งแกร่งที่สุด เพื่อให้ได้มาซึ่งหินน้ำแข็งที่จะช่วยชีวิตผู้หญิงที่เขารักได้
พัคจิน ผู้อำนวยการซงริม กลัวว่าหลานที่รักจะประสบโชคชะตาที่เลวร้าย
– พัคจิน ผู้อำนวยการซงริม ที่รักษาความลับเรื่องชาติกำเนิดของจางอุคมายาวนาน มันเป็นความลับที่เต็มไปด้วยความรัก เมื่อเด็กผู้ชายที่เขาเลี้ยงดูค่อยๆ เติบโตมาเป็นนายน้อยแห่งตระกูลจาง
– ความกลัวว่าวันหนึ่ง ชะตากรรมของหลานชายคนนี้จะพลิกผัน และทำให้เขาต้องเผชิญกับความทุกข์ร้อนมากมาย
– แม้ว่าใจหนึ่งเขาอยากเห็นจางอุคเป็นจอมเวทย์ที่ไม่มีใครสู้ได้ แต่อีกใจหนึ่งก็ต้องบังคับให้เขาเป็นคนธรรมดา เพราะกลัวว่าจะสูญเสียเขาไปตลอดกาล
กษัตริย์ กลัวการสูญเสียอำนาจ
– เป็นปกติธรรมดาของผู้อยู่จุดสูงสุดของอาณาจักรที่ต้องการรักษาอำนาจเอาไว้ในมือตลอดไป เราจึงได้เห็นความพยายามอย่างที่สุดของกษัตริย์องค์ก่อนที่แปรวิญญาณกับจางกังเพื่อสืบทอดทายาท
– และแม้มาถึงสมัยของกษัตริย์องค์ปัจจุบัน ก็ยังคงกลัวใครก็ตามที่จะแข็งแกร่งขึ้นมาจนแย่งชิงอำนาจสูงสุดนี้ไป
– แม้จะมีสี่ตระกูลจอมเวทย์คอยคานอำนาจ แต่วังหลวงก็มีชอนบุกวานเป็นกองทัพคอยหนุนหลัง
– ที่น่าสนใจก็คือ พูดถึงเรื่องของอำนาจแล้ว การได้ครอบครองมันเป็นเหมือนมายาแสนสุขที่เราไม่อยากหลุดออกไปจากมัน