Blood Free กับชนวนเหตุสำคัญใน EP.5-6 ที่ยกระดับซีรีส์เกาหลีไปอีกขั้น
งานเขียนบทระดับแพคซังของ อีซูยอน จาก Stranger, Life ย่อมไม่ธรรมดา ยิ่งในซีรีส์ Blood Free EP.5-6 คือไต่ระดับไปอีกขั้น กับบทในตำนานที่อธิบายเรื่องราวได้เจ็บแสบถึงแก่นความโลภของมนุษย์ ขณะเดียวกันก็ซ่อนเลิฟไลน์เอาไว้ระหว่างบรรทัด จนทำให้ Blood Free ยกระดับไปเป็นซีรีส์ที่เล่าถึงประเด็นสากลมากๆ และในอีกไม่นานเทคโนโยลี Culture Meat จะพลิกกระดานความเชื่อที่เราเคยมีมา
เพราะด้วยประเด็น Culture Meat หรือเนื้อที่เติบโตในห้องทดลอง ในตอนนี้ก็กำลังเป็นประเด็นถกเถียงไปทั่วโลก เพราะมันเป็นเทคโนโลยีที่เปลี่ยนห่วงโซ่อาหารไปเลย เช่นเดียวกับที่ในซีรีส์อธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ว่า “มันก็เหมือนลืมไปเลยว่าคนเราต้องหายใจด้วยอากาศ” และการเป็นเจ้าของเทคโนโลยี บวกด้วยการเป็นเจ้าของอำนาจในการผูกขาด ก็คือการได้ขึ้นเป็นเจ้าโลกที่แท้
เช่นเดียวกับในซีรีส์ Blood Free ที่ผูกปมให้ฝั่งหนึ่งเป็นเจ้าของบริษัทเทค Blood Free ที่ถือครองเทคโนโลยี Culture Meat กับอีกฝั่งที่เป็นประธานาธิบดีเกาหลีและสายตระกูล เพราะอย่าลืมว่านอกจากการได้มาซึ่งเงินมหาศาลและอำนาจล้นมือ การเป็นเจ้าของเทคโนโลยีสร้างเนื้อเยื่อเทียมอาจเป็นคำตอบสู่การมีชีวิตเสพสุขบนเงินทองเหล่านั้นไปได้ชั่วนิรันดร์
งานเขียนบทบทอีซูยอนเขาเฉียบจริงๆ ถ้าใครยังจำได้ในซีรีส์ Stranger หรือ Life ก็มีบทยาวๆ สะท้อนปมสังคมแบบนี้เช่นกัน.
นอกจากความดีงามเรื่องบท ยังส่งให้เห็นการวางตัวละครของอีซูยอนที่ให้ฝ่ายหนึ่งเป็นทหาร ที่มองการฆ่า อาวุธ คือสิ่งที่เข้าใจได้, ฝ่ายนักการเมือง ที่กุมอำนาจระดับประเทศไว้ในมือ และฝ่ายนักวิทยาศาสตร์ ที่มีอุดมการณ์ในการเปลี่ยนโลกเพื่อผู้คน
และที่สำคัญ วรรคทองของ Blood Free ในอีพีนี้ยังเป็นการทำความเข้าใจระหว่างสองตัวละครหลัก อูแชอุน และ ยุนจายู ให้เปิดใจเข้าหากันได้อย่างสมบูรณ์
วรรคทองของ Blood Free EP.6 ที่ ดูซีรีส์ให้ซีเรียส จดมาฝากกันทางเราได้จดบทสุดคลาสสิกนี้ไว้ให้แล้ว
“มนุษย์ไม่อาจอยู่ได้ชั่วนิรันดร์ค่ะ แบบนั้นไม่ใช่ความสมบูรณ์แบบ แต่เป็นความผิดพลาด แต่ถ้ามีหนทางที่ทำให้เราไม่ต้องเจ็บปวดจนกระทั่งวันตายล่ะ คุณไม่คิดเหรอคะว่าฉันทำไมดิ้นรนทำเทคโนโลยีชั้นยอดให้สมบูรณ์แบบและเก็บออมเงินทุนมาโดยตลอด”
“เทคโนโลยีชั้นยอดจะถูกใช้ในการสร้างอาวุธครับ ผมประหลาดใจเหมือนกัน ตอนแรกที่ได้รับอาวุธต่างๆ แต่ต่อมาก็คิดได้ว่ามันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อปลิดชีวิตผู้คนนี่นา ผู้คนลงทุนด้วยเม็ดเงินและเทคโนโลยี เพียงเพื่อจะคร่าชีวิตคนอื่นสินะ”
“ถ้ามีเทคโนโลยีเพื่อการฆ่า ก็ควรมีเทคโนโลยีเพื่อช่วยชีวิตด้วย จริงไหมคะ”
“ครับ ผมอาจคิดแบบนี้ เพราะผมไม่ค่อยรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ ผมเชื่อเสมอว่ามนุษย์เป็นอาหารของสงคราม เช่นเดียวกับเนื้อสัตว์”
บทพูดยาวๆ ฉากเดียวใน EP.6 นอกจากจะคลี่คลายปมหลักๆ ในเรื่อง ยังเป็นพล็อตเรื่องบนคำถามจริงของโลกในตอนนี้?
ปัญหาของเชื้อวัวบ้า ไข้หวัดนก ไปจนถึงเชื้อโรคต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นตามมา และทำให้มนุษย์ขาดแคลนอาหาร
ปัญหาการทำลายสิ่งแวดล้อมจากการปศุสัตว์ เช่น บริษัทยักษ์ใหญ่กว้านซื้อพื้นที่ปลูกพืชเพื่อการอาหารสัตว์ ซึ่งมองในแง่หนึ่งก็คือการทำลายระบบห่วงโซ่อาหารเช่นกัน
ปัญหาด้านมนุษยธรรมที่จะมีการทำลายสัตว์ปนเปื้อนเชื้อโรคเหล่านั้น ครั้งละนับร้อยนับพันตัว
ความเจริญทางเทคโนโลยีที่ทำให้มนุษย์อายุยืน หรือไม่มีวันตาย ทั้งยังดูอ่อนเยาว์อยู่ด้วย ใครได้เป็นเจ้าของนวัตกรรมนี้ ย่อมสร้างเม็ดเงินมหาศาล
ความรักเท่าที่รู้ระหว่าง อูแชอุน กับ ยุนจายู
ระหว่างอูแชอุนกับยุนจายู แม้จะยืนอยู่บนฝั่งเดียวกันก็คือเจ้านาย-บอดี้การ์ด และความพยายามหาตัวคนร้ายให้ได้ แต่การอยู่ในตำแหน่งของทั้งคู่กลับมีระยะห่างที่ทำให้แฟนซีรีส์คาดเดาไม่ได้เลยว่านี่คือซีรีส์ที่มีเลิฟไลน์หรือเปล่า
จนกระทั่งใน EP.6 ก็ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่าเป็นความรักแบบรุ่นใหญ่ ไม่ต้องพูดเยอะ เน้นการกระทำ โดยเฉพาะบทพูดสุดคลาสสิกที่ไม่ต้องมีคำว่ารัก แต่กินความหมายไปกว่านั้นเยอะ ก็คือการที่ทั้งคู่ดูแล ปกป้องชีวิตซึ่งกันและกัน
“ขอบคุณนะครับที่ช่วยชีวิตผม”
“ที่ปกป้องชีวิตฉันให้ปลอดภัย ขอบคุณนะคะ”